วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2552

หมวดเนื้อเพลงหนุนใจ-พักพิงในพระเจ้า


โหลดเพลงใหม่, หา code เพลง hi5

พักพิงในพระเจ้า/Rest in the Lord

เมื่อทะเลต้องพบมรสุมแปรปรวน
As when the sea encounter storm tempest

ชีวิตคนเราก็เป็นเช่นนั้น
Moments in lives could just be so

ยามทุกข์เจียนตายดุจดั่งโดนคลื่นซัดสาด
Great tidal wave beat pain right to the core

ขาดที่กำบังไร้ที่พักพิง
No refuge no rest evermore

แต่อย่าลืมว่าพระองค์เฝ้าดูเราอยู่
Let's not forget the Lord is watching you

พร้อมที่จะชูใจที่อ่อนแรงระอา
Ready to heal your broken heart

อย่าหันไปจากพระพักตร์ที่แสนเมตตา
Do not waver from His loving presence

มอบชีวิตให้พระองค์นำพา
Surrender your life to Him

พักพิงในพระเจ้า พักพิงในพระองค์
Rest in the Lord, Rest your soul in Him

พระทรงเป็นศิลามั่นคง
Strong refuge and fortress is He

พระองค์เป็นพระเจ้า พลังความรอดบาป
He is our Lord, salvation and power

ทรงเป็นโล่เป็นกำบังที่เข้มแข็ง
He's a shield, a stronghold so true

ต่อไปนี้ฉันจะไม่ ต่อสู้เพียงลำพัง
From now on, I will not face my foes all alone

เพราะพระองค์ผู้ทรงมีชัย เหนือความตายความบาป
'Cos the Lord who hold victory o'er death and sin

ทรงเดินไปเคียงข้างฉัน
Has now journeyed with me

หมวดการบำบัด-ตอนที่ 15:วินัยใหม่ พลังกลุ่ม

วินัยใหม่ พลังกลุ่ม

พยายามอย่าอยู่คนเดียว ท่านที่ไม่สามารถควบคุมความคิดได้ การอยู่คนเดียวจะเป็นอันตรายได้ ท่านควร มีกลุ่มสามัคคีธรรมที่คอยเอาใจใส่ รายงานกันและกัน ในการเลี้ยงดูจิตวิญญาณและจิตใจ สองคนดีกว่าคนเดียวครับ งานบำบัดเยียวยาเป็นเรื่องของพระกายร่วมกัน เราไม่สามารถดำเนินชีวิตโดดเดี่ยวได้ โดยไม่มีเพื่อน ๆ คอยให้กำลังใจและหนุนใจตักเตือนได้ เพราะชีวิตก็เหมือนอวัยวะที่ต้องประสานและปกป้องดูแลกันและกันครับ

เพราะพระคริสต์ทรงสัญญา สองคนในโลกอยู่ที่ไหนพระองค์จะทรงสถิตอยู่ที่นั่น และคริสตจักร (ผู้เชื่ออยู่ร่วมกัน) อนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะอนุญาตในสวรรค์ พระพรของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า ดูเถิดพี่น้องที่อยู่ที่แห่งเดียวกัน พระองค์จะทรงบังคับบัญชาพระพรที่นั่น (สดด133)

สองคนดีกว่าคนเดียว และเชือกสามเกลียวย่อมผูกพันธ์กันแน่น อย่าขาดการบังคับตัวเอง เข้ากลุ่มกับคนที่มีความเชื่อเดียวและความรัก รู้จักรายงานรับผิดชอบซึ่งกันและกันด้วยครับ

มธ 18:19 เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายอีกว่าถ้าในพวกท่านที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกัน ขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ก็จะทรงกระทำให้

ฮบ10:25 อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว

หมวดการบำบัด-ตอนที่ 14:วินัยใหม่ พลังภายในเราเอง

วินัยใหม่ พลังภายในเราเอง

เราเองต้องปล้ำสู้ อดทน เชื่อเรื่องการอดเปรี้ยวกินหวาน ดูตัวอย่างพระคริสต์ที่กางเขน
แม้พระองค์ต้องทนต่อการดูถูก แต่ทรงทนอับอาย จากนั้นที่กางเขน ทรงสำเร็จการกิจ เรื่องการรับแบกบาปของคนทั้งโลกได้

การรับการเยียวยาแล้วสารภาพกลับใจเริ่มต้นชีวิตใหม่ มารก็จะรอจังหวะ โอกาสกลับมาแสดงอาการเขย่ามุมของมัน แหย่เราเป็นระยะ เพื่อมาแย่งการครอบครองมุมนั้นกลับคืนไป

เราควรปฎิเสธขับไล่มัน แม้มันจะทดลองด้วยปัญหาเดิมอีก ก็อย่าท้อ แต่ถ้าหากเรายอมง่าย ๆ มันก็จะกลับมาครอบครองถิ่นเดิมของมันอีก แต่หากว่าเราต่อสู้ไปเรื่อย ๆ จนกว่ามันจะเลิกไปเอง เพราะมันรู้ว่าเรากลับใจใหม่ จริง ๆ แล้ว นี่เองคืออาวุธแห่งการกลับใจ

สำคัญมากจริง ๆ ไม่เพียงแต่กลับใจ แต่อย่าให้อาหารแก่มัน เปิดจุดอ่อนด้านวัตถุ อุปกรณ์ สถานที่ สิ่งที่เร้าอารมณ์ เพลง หนัง นิยายที่ได้ยินได้อ่าน เราต้องปิดทุกประตู

หากเราตั้งสติและมีชัยชนะมากขึ้นตามลำดับ แม้อาจพลาดบ้าง ล้มลง โลหิตพระคริสต์ทรงช่วยได้

“ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” 1ยน1:9

ท่านเริ่มต้นใหม่ กลับใจใหม่อีก พระเจ้าก็ทรงต้อนรับท่านเสมอ

หมวดการบำบัด-ตอนที่ 13:วินัยใหม่ พลังแห่งถ้อยคำ

วินัยใหม่ พลังแห่งถ้อยคำ

วรรณกรรมที่ดี ชีวประวัติบุคคลที่ท้าทาย คำสอนของบุคคลที่มีชื่อเสียงเหล่านี้สำคัญมาก สำหรับผู้ที่อยู่ในขบวนการรับการเยียวยา เพราะมันเหมือนยา อาหารที่เสริมพลังให้มีกำลังในการต่อสู้กับบาดแผล ปัญหาทางด้านอารมณ์และความคิด

คำสอนที่ดีที่สุดคือพระคัมภีร์ไบเบิล เพราะเป็นถ้อยคำที่มีชีวิตและความจริง พิสูจน์ได้ สั่งสอน คนมามากมายทุกยุคทุกสมัยและทุกชนชั้น พระคัมภีร์มีถ้อยคำที่ท้าทายให้ชีวิตกำลังใจแก่ท่าน ให้ท่านได้มีความอดทนและต่อสู้และมีแบบอย่างชีวิตจริงในนั้นให้เราสัมผัสและอ่านได้ มีคำสัญญาที่ท่องได้ เช่น 1ยน4:4 “ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านเป็นฝ่ายพระเจ้าและได้ชนะเขาเหล่านั้น เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในท่านทั้งหลายเป็นใหญ่กว่าผู้นั้นที่อยู่ในโลก”

พระเจ้าอยู่ในเราเป็นใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลกนี้ หรือปัญหาใด ๆ ซึ่งเป็นข้อความท้าทายเราให้สู้ และรู้ว่ามีผู้อยู่ในเราเคียงข้างเรา

การสะสมพระคำจึงมีประโยชน์ เป็นอาวุธ เป็นพระแสง ดาบต่อสู้กับพญามารที่เอาปัญหาต่าง ๆ ทุกรูปแบบเข้ามาในชีวิต ความคิด จิตใจ อารมณ์ของเรา เราต้องการถ้อยคำแห่งการหนุนใจ ความรัก ห่วงใย ท้าทาย ชีวิตเราอยู่เสมอ เพื่อความเจริญเติบโตของชีวิตของเรา

หมวดการบำบัด-ตอนที่ 12:วินัยใหม่กับพลังภายในตัวเรา

วินัยใหม่กับพลังภายในตัวเรา

เมื่อท่านรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ท่านก็มีสิทธิเป็นบุตรของพระเจ้า และสิทธิพิเศษที่ท่านได้รับคือ พระวิญญาณอันบริสุทธิ์ของพระองค์ทรงสถิตย์ภายในท่าน

พระองค์ทรงทำอะไรล่ะ แน่นอนพระเจ้าทรงประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์มาในชีวิตของท่านโดยมีเป้าหมายจุดประสงค์เพื่อให้ท่านมีชีวิตที่มีชัยชนะ พระองค์จะช่วยท่านเมื่อท่านอ่อนกำลัง

“ในทำนองเดียวกันพระวิญญาณก็ทรงช่วยเราเมื่อเราอ่อนกำลังด้วย เพราะเราไม่รู้ว่าเราควรจะอธิษฐานขอสิ่งใดอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทนเรา ในเมื่อเราคร่ำครวญอธิษฐานไม่เป็นคำ และพระองค์ผู้ทรงชันสูตรใจมนุษย์ ก็ทรงทราบความหมายของพระวิญญาณเพราะว่า {หรือ ว่า} พระวิญญาณทรงอธิษฐานขอเพื่อธรรมิกชนตามที่ชอบพระทัยพระเจ้า” โรม 8:26-27

ทรงประทานกำลังและชัยชนะอยู่ภายในท่าน และเรียนรู้ที่จะเรียนบทเรียนทุกสถานการณ์ ในชีวิต เพื่อเราจะได้ใช้ศักยภาพอย่างเต็มที่ในการดำเนินชีวิต พระองค์จะไม่ให้เดินไปอย่างโดดเดี่ยวแน่นอนครับ

“ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุขและความขัดสน ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” ฟีลิปปี 4:12-13

ตอนนี้อยู่ที่ตัวเราที่ต้องเลือกที่จะสู้ร่วมกับพระองค์ผู้เป็นกำลังใจ ผู้ให้พลังแก่เรา เพราะแม้พระองค์ประทานชัยชนะ ประกาศว่าจะช่วยแล้ว แต่เราเริ่มไม่สู้ ไม่ปล้ำสู้ ถ้อแท้ ถดถอย คำสัญญาต่าง ๆ ก็สูญเปล่า เราจึงอย่าปัดพลังอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงประทานให้ในเรา และร่วมือกับพระองค์ ท่านก็จะสามารถผ่านอุปสรรค บาดแผล ความเจ็บปวดไปได้ครับ

หมวดการบำบัด-ตอนที่ 11:วินัยใหม่กับพลัง ศรัทธา และการอธิษฐาน

วินัยใหม่กับพลัง ศรัทธา และการอธิษฐาน
พลังในตอนนี้ คือ พลังศรัทธาในศาสนา และในความสัมพันธ์กับพระเจ้า เรามีความสัมพันธ์จนเรารับความรัก ความมั่นคง สันติสุข อารมณ์มั่นคง มีกำลังใจ เพราะรู้ว้าเราไม่ได้เดินด้วยตัวลำพัง พลังที่ได้รับจากการภาวนา อธิษฐานทุกวัน อาจวันละสิบนาที หรือยามที่เราต้องการ ให้ความรัก ฤทธิ์อำนาจของพระองค์ ความเชื่อ ความศรัทธาไหลเข้ามาภายในตัวเรา และขับเคลื่อนออกไปสู่ผู้อื่น จนกลายเป็นพลังที่เกินบรรยาย เหนือมนุษย์จะเข้าใจ

พลังแห่งความเชื่อความศรัทธานี้เป็นสิ่งที่ซ่อนอยู่ในมนุษย์ทุก ๆ คน มันเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นแต่มีจริง มีหลายคนยอมเสียสละเงินทอง ครอบครัวเพื่อความศรัทธา แต่ทำไมไม่ให้ศรัทธาความเชื่อนั้นมาเป็นพลังกำลังใจในการดำเนินชีวิตแก่เราในรูปแบบความสัมพันธ์ เช่น เมื่อเราเชื่อในพระเจ้า เราควรมีความสัมพันธ์กับพระองค์ผ่านการอธิษฐาน ทูลขอ อ้อนวอน

ยก 4:2 ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและทำสงครามกัน ท่านไม่มีเพราะท่านไม่ได้ขอ

จงเอาศรัทธานั้นมาเป็นพลังในการต่อสู้ เพราะว่าเราไม่ได้มีศรัทธาหรือมีความเชื่อลม ๆ แล้ง ๆ แต่เราเชื่อศรัทธาในเรื่องที่คนศรัทธาทั้งโลก เอาศรัทธาความเชื่อเป็นพลังท้าทายดีกว่ายอมตาย สูญเสียในสภาพเช่นนี้ เพราะตายในความเชื่อดีกว่าตายพ่ายแพ้ในสภาพมีบาดแผล บาดเจ็บกลับไปสู่ชีวิตเก่าอีก

ด้วยเหตุนี้เอง ศรัทธา ความเชื่อ คือพลังมหาศาลในพระคัมภีร์ไบเบิล กล่าวว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่าสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง โดยความเชื่อนี้เองคนในสมัยก่อนก็ได้รับการรับรองจากพระเจ้า”(ฮีบรู 11:1)

ศาสนาทุกศาสนามีความเชื่อที่เหมือนกันหมด คือ การอธิษฐาน และมนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีประสบการณ์ในการอธิษฐานมาแล้วในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง การอธิษฐานเป็นพลังเรียกสิ่งที่ไม่มีให้มีขึ้น การอธิษฐานเป็นพลัง สร้างพลังให้เกิดอนุภาพยิ่งใหญ่ เกิดความกล้าหาญ เกิดความหวัง เกิดกำลังใจ เกิดความปราถนา และต้องการที่จะดำเนินชีวิตและต่อสู้ต่อไป

โดยเฉพาะความเชื่อของคริสตชน เรามีพระสัญญาจากพระคัมภีร์ไบเบิลว่า “จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในท่าน ท่านจะทูลขอสิ่งใดที่ท่านปราถนา ท่านก็จะได้สิ่งนั้น” ยน15:7

อีกตอนหนึ่ง ตอนนี้ท่านต้องการ มีความจำป็น ต้องการกำลังใจสิ่งใด ปัจจัยในการดำเนินชีวิต เพื่อไปสู่ชัยชนะล่ะครับ พระเจ้าทรงประทานกำลังให้ท่าน แน่นอนตามสัญญาไว้ตามพระวจนะ

แทนที่จะพรำบ่น ตำหนิ ต่อว่าตัวเอง หรือออกเสียงแห่งความท้อแท้ หันมาออกเสียงแห่งการร้องขอ การช่วยเหลือ จากพระเจ้า จากพระผู้สร้างดีกว่าครับ เพราะถ้าเราเชื่อ ทุกสิ่งก็เป็นไปได้ ไม่มีอะไรยากสำหรับพระผู้สร้างและไม่มีอะไรยากสำหรับพระองค์ ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ทำไม่ได้ เพราะเราเป็นพระฉายาของพระเป็นเจ้าที่สร้างเรามา ทำไมเราจะมาท้อแท้ หยุดดับอนาคตที่สุกใสไว้แค่บาดแผล และความเจ็บปวดเล็ก ๆ น้อย ๆ เหล่านี้ละครับ


วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

หมวดการบำบัด-ตอนที่ 10 วินัยใหม่กับเพลงที่ให้กำลังใจ

วินัยใหม่ กับเพลงที่ให้กำลังใจ

ในตอนนี้ อยากจะบอกกุญแจที่จะทำให้ท่านสามารถมีชัยชนะในการดำเนินชีวิตหลังผ่านขบวนการเยียวยาบำบัดได้
ก่อนรับการบำบัดท่านลองทำตาม 5 ขั้นตอนนี้ก่อนก็ได้ครับ แต่หากทำแล้วอย่างสัตย์ซื่อ แต่ก็ยังไม่สามารถชนะนิสัยหรือบาดแผลที่ท่านเผชิญได้ ก้อจำเป็นที่ท่านจะต้องเข้าสู่ขบวนการบำบัดเยียวยา
เราจะเห็นว่าการเยียวยามีสามส่วน คือ หารากและทำการจัดการกับรากนั้น สุดท้ายเป็นหน้าที่ของผู้รับการบำบัด คือ มีวินัยในการดำเนินชีวิตใหม่ คือส่วนที่เราจะกล่าวในต่อไปนี้

หนึ่งเพลง สำหรับเพลงนั้น ทางกลุ่มคริสเตียนที่ทำการเยียวยาจะมีเพลงประเภทหนึ่งเรียกว่าเพลง Soaking หรือ เพลงที่แช่ในบรรยากาศ เนื้อหา ความรัก การทรงสถิตของพระเจ้า ส่วนในแบบอื่น ๆ ก็มีครับ เช่น เพลงที่กระตุ้นสมองให้สั่งการในการทำงานส่วนของร่างกายของผู้ป่วยที่ไม่ทำงาน แต่ที่หาซื้อฟังได้ง่าย คือ เพลงพวก Green Music ที่ท่านสามารถซื้อหาได้ทั่วไป
เพลงสำคัญอย่างไร? แน่นอน เพลงเป็นภาษาสากล ทำนองที่บรรเลงแม้ไม่มีเสียงร้อง แค่จังหวะก็สามารถเรียกความหึกเหิม หรือโศกเศร้า หรือน้ำตาได้แล้ว โดยที่ไม่ต้องแบ่งเชื้อชาติเลยว่าจะเป็นคนพวกใด ด้วยหตุนี้เองเมื่อเราต้องการการเปลี่ยนแปลงอารมณ์ สร้างความคิดให้แข็งแรง จิตใจที่หึกเหิม กล้าหาญ มีกำลังใจ และเติมเต็มด้วยความรัก ความสดชื่นผ่อนคลาย เราต้องหาเพลงที่เหมาะสมมาฟัง เพื่อสุขภาพจิตใจของเรา เพื่อจินตนาการของเรา ฝันของเรา จะได้ถูกปรับเปลี่ยนไปในทางที่มีหวังและชื่นชมยินดีอยู่เสมอ

วันอาทิตย์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2552

หมวดการบำบัด - ตอนที่ 9:การตัดสินผู้อื่น

การตัดสินผู้อื่น

"อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน เพราะว่าท่านทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษท่านอย่างนั้น และท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะได้ทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น” (มธ.7:1-2)

การพิพากษา แตกต่างกับ การตัดสินอย่างไร? การพิพากษา เป็นการกล่าวถึงเรื่องที่เราไม่คำนึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง และรวบรวมความผิดทั้งหมด ส่วนการตัดสิน คือ แทนที่จะตัดสิน การกระทำของคนนั้นกลับตัดสินคนนั้น ครับ

“เราสามารถตัดสินเพื่อนของเราได้ ว่าเขาขับรถดีหรือไม่ดี เมื่อเรานั่งรถของเขา เราสามารถตัดสินความน่าเชื่อถือทางธุรกิจได้ เราตัดสินซึ่งกันและกันตลอดเวลาในแทบทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ ความเป็นมิตร การคบหากัน การแข่งขัน การทำธุรกิจ การตัดสินที่มาจากหัวใจที่มีความเข้าใจและความรัก ความเห็นอกเห็นใจคนอื่นไม่ได้รวมอยู่ในกฎข้อนี้ เปาโลกล่าวว่า เราจะตัดสินโลกนี้ และแม้แต่ทูตสวรรค์ด้วย

แต่เมื่อเราตัดสินคนอื่นด้วยหัวใจที่ไม่บริสุทธิ์ การต่อว่า แช่งสาป โกรธ เกลียด อิจฉา หรือความแค้น เราก็นำตัวเราเข้าสู่กฎข้อนี้ทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตัดสินพ่อแม่ ด้วยหัวใจที่ไม่บริสุทธิ์ เป็นการไม่ให้เกียรติ ดังนั้น เราจึงตกอยู่ภายใต้กฎทั้งสองข้อพร้อม ๆ กัน และการตัดสินจะตกมาถึงเราเอง และชีวิตของเราก็จะไม่ได้ไปดีมาดี” (จากบทความของ John Sandford )

การตัดสิน เราควรตัดสินที่การกระทำ เช่นคุณทำงานไม่เสร็จเพราะอะไร แต่ไม่ใช่คุณทำอะไรไม่เคยสำเร็จเลย หรือ คุณเป็นคนทำงานไม่สำเร็จ เป้าหมายการตำหนิตอนนี้ ไม่ใช่งานที่ไม่เสร็จ แต่อยู่ที่คนไม่ดีแล้วครับ

กล่าวการตัดสินถึงอดีตและอนาคต พยากรณ์ว่าเขาจะทำอย่างนั้นอีก เพราะเขาทำไม่เสร็จครั้งนี้ ก็รวมการพิพากษาและการตัดสินไปด้วย อย่างบทความของจอห์นที่กล่าวว่า เราตัดสินการประพฤติที่ลบจนเป็นนิสัยของเขา ที่เราต้องระวังได้ แต่หากเราตัดสินด้วยอารมณ์ อคติ จิตใจไม่บริสุทธิ์ จากสิ่งที่ดีจากเรา กลายเป็นการตัดสินที่ลบออกไป จะทำให้เรารับผลจากการตัดสินนั้น เพรา หลักความเชื่อของคริสตชนเชื่อว่าเราตัดสินผู้อื่นอย่างไร พระเจ้าก็จะตัดสินเราเช่นนั้น

ทั้งโลกหน้า โลกนี้ สิ่งที่เราจะได้รับ คือ หากเราตัดสินอย่างไม่ยุติธรรมและไม่บริสุทธิ์ใจ เราก็จะขาดมิตร และความศรัทธา ความเกรงใจ หรือ ยามเราผิดพลาด ผลที่เราจะได้รับคือคนที่มีชีวิตอยู่ก็จะตัดสินเราเช่นนั้น ดังที่เราตัดสินเขาด้วยความไม่ยุติธรรม แม้ทางด้านคริสตชนจะสอนให้ ทุกคนให้อภัยและยกโทษ ในทำนองเดียวกัน สวรรค์ยุติธรรม เพราะพระเจ้าทรงยุติธรรมแยกคนดีคนชั่ว แต่ละเรื่องแต่ละเหตุการณ์ เมื่อเหตุการณ์ของการตัดสินเกิดขึ้น กฎการเก็บเกี่ยวก็จะถูกนำมาใช้ในชีวิตของเราเช่นกัน เพราะไม่มีใคร หลีกพ้นกฎนี้ได้ คือ การตัดสิน อันยุติธรรมจากพระเจ้า

สิ่งเดียวที่จะช่วยเราได้คือ สารภาพบาปและกลับใจใหม่ เริ่มต้นชีวิตใหม่ เลิกตัดสินผู้อื่นด้วยใจอคติ อารมณ์และความไม่ยุติธรรม เพื่อพระเจ้าจะทรงประทานความยุติธรรมให้แก่ท่าน ยามที่มีผู้ตัดสินท่านอย่างไร้ความยุติธรรมครับ

สภษ 15:8 เครื่องสักการะบูชาของคนชั่วร้ายเป็นที่น่าเกลียดน่าชังแก่พระเจ้า แต่คำอธิษฐานของคนเที่ยงธรรมเป็นที่ปีติยินดีแก่พระองค์

สภษ15:29 พระเจ้าทรงอยู่ห่างไกลจากคนชั่วร้าย แต่พระองค์ทรงได้ยินคำอธิษฐานของคนชอบธรรม

หมวดการบำบัด - ตอนที่ 8:อย่าพิพากษาผู้อื่น

อย่าพิพากษา ผู้อื่น


การพิพากษาแตกต่างกับการตัดสินอย่างไร? การพิพากษา เป็นการกล่าวถึงเรื่องที่เราไม่คำนึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง และรวบรวมความผิดทั้งหมด ส่วนการตัดสิน คือ แทนที่จะตัดสิน การกระทำของคนนั้นกลับตัดสินคนนั้น ครับ

ตอนนี้เรามาดูการพิพากษาก่อนนะครับ อยากจะยกเหตุการณ์ง่าย ๆ เมื่อเราเห็นนายเอคุยกันในห้อง เราตำหนินายเอว่า ทำไมคุณเอคุยกันในห้องทุกครั้งเลย และครั้งที่แล้ว คุณเอก็เดินเข้าห้องผิด และทำแบบนี้มาตลอด จุดนี้เราจะเห็นชัดว่าคุณเอถูกพิพากษา คือ แทนที่เขาจะถูกพิพากษาการกระทำที่มาสายครั้งเดียว แต่เขาถูกตัดสินว่าคุณทำไมมาสายทุกครั้ง และรวมความผิดครั้งก่อน ๆ ด้วย มันเกินความจริงที่เป็นขณะนั้น เหมือนการที่คุณเอทำผิดครั้งนี้ผิดใหญ่หลวง

มันผิดยังไงที่ไปตัดสินคุณเอแบบนั้น ทำไมหรือครับ เพราะว่าความผิดพลาดในอดีตของคุณเอ เขาอาจจะ กลับใจ เสียใจกับสิ่งที่พลาดไปแล้ว เขาอาจสารภาพความผิดนั้นกับคนที่เกี่ยวข้องไปแล้วก็ได้ ทำไมเราเอาสิ่งนั้นมาพิพากษาเขาอีกครั้ง เราไม่ใช่พระเจ้าที่จะไปตัดสินเขาในอดีต เพราะนั่นเป็นเรื่องของพระเจ้า เราไม่ควรพิพากษา กล่าวโทษสิ่งที่เขาทำ โดยที่ไม่ทราบเบื้องหลังเรื่องที่ผ่านมาแล้ว

ปัจจัยหลายด้านที่เขาประพฤติแบบนั้น ในเวลานั้นก็สำคัญ มันเป็นองค์ประกอบที่บ่งบอกว่าอะไรที่เขากระทำเช่นนั้น สาเหตุอะไร ปัจจัยจากเวลา คน สถานที่ เราไม่ได้ถามสาเหตุเลย ว่าทำไมเขาจึงประพฤติแบบนี้ในครั้งนี้ เราอย่ารีบด่วนสรุปเลยครับ

เราต้องระวังคำพูด “เธอก็ทำแบบนี้ประจำ” และคำพูดที่ว่า “เมื่อก่อนเธอก็ทำแบบนี้” ลองคิดดูสิครับว่าหากท่านทำผิดพลาดบางอย่าง มีคนตำหนิท่าน พิพากษาท่านโดยเหมาเอาว่าท่านทำเป็นประจำและ เอาความผิดพลาดในอดีตของท่านมารวมด้วย ท่านจะแย่แค่ไหน มันดูเหมือนทำผิดครั้งนั้น ผิดมากตลอดเลย นี่เอง ผลร้ายของคำพิพากษา

ถูกหรือผิด โดยไม่ได้เป็นหน้าที่ของเราครับ มันเป็นหน้าที่ของผู้เกี่ยวข้องด้วย และแม้ผู้เกี่ยวข้องโดยตรงก็ต้องยังมีองค์ประกอบในการกล่าว การตักเตือน วิจารณ์ในพื้นฐานเรื่องนั้นเรื่องเดียว เวลานั้น และองค์ประกอบ หลายปัจจัย เพื่อผู้นั้นจะไม่ท้อใจจนเกินไปเมื่อผิดพลาด
“เหตุฉะนั้น มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะเมื่อท่านกล่าวโทษผู้อื่น ท่านก็ได้กล่าวโทษตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่กล่าวโทษเขา ก็ยังประพฤติอยู่อย่างเดียวกับเขา” (รม.2:1) ผมพบว่านี่เป็นกฎอย่างหนึ่ง ที่เมื่อใครก็ตามตัดสินคนอื่น เขาก็มักจะต้องทำในสิ่งเดียวกัน

ทำไมล่ะ เพราะความเชื่อของคริสตชน เราเชื่อว่าหากเราพิพากษาผู้อื่นโดยไม่เป็นธรรม พระเจ้าก็จะทรงพิพากษาเราเช่นกัน ดังนั้น จงอยู่ด้วยกันด้วยความรัก หากจับผู้ใดทำผิดได้ จงช่วยผู้นั้นด้วยความถ่อมใจ เกรงว่า วันหนึ่ง เราจะอ่อนแอ และทำผิดพลาดแบบนั้นเช่นกัน ตอนนั้นล่ะใครจะช่วยและอยู่ฝ่ายเรา หากเราไม่เมตตาต่อผู้อื่น และให้ความเมตตาต่อผู้อื่นก่อน

กาลาเทีย 6:1-5 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์ เพราะว่าถ้าผู้ใดถือตัวว่าเป็นคนสำคัญทั้ง ๆ ที่เขาไม่สำคัญอะไรเลย ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง ทุกคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง จึงจะมีอะไร ๆ ที่จะอวดได้ในตัวไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น เพราะว่าทุกคนต้องรับภาระของตัวเอง

หมวดการบำบัด - ตอนที่ 7:ค่านิยม หรือปรัชญา การดำเนินชีวิตที่ดี

อยากหว่านแต่สิ่งดีๆ ต้องมีค่านิยม หรือปรัชญา การดำเนินชีวิตที่ดี

“อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น” (กท.6:7) ไม่มีข้อยกเว้น กฎก็คือกฎ ถ้าเราหว่านสิ่งที่ดี เราก็จะได้เก็บเกี่ยวพระพร และถ้าเราหว่านความชั่วร้าย เราก็ต้องเก็บเกี่ยวความเจ็บปวด

หลายคนมักถามว่าทำไมเขาทำผิดต่อเรา แต่ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เราต้องเข้าใจก่อนว่า เมื่อเขาทำอะไรเรา นั่นมันก็เพราะมันเป็นการหว่าน ยังไม่เจริญเติบโต เขาเพิ่งหว่านเมล็ดลงไปในการกระทำ กว่าจะแตกกลายเป็นรากและเป็นต้น และต่อมาวันหนึ่งมันโตขึ้นเกิดผล ก็เป็นเวลาที่ต้องเก็บเกี่ยวของเขาได้เช่นกัน

ดังนั้น เราต้องคำนึงว่ายามมีปัญหาเกิดขึ้น เราต้องถามว่านี่เป็นการเก็บเกี่ยวที่เราเคยหว่าน หรือเป็นการริด การทดสอบชีวิตที่อดทน เพื่อเกิดผลอันดี พิสูจน์ตัวจริงของเรา เหมือนทองจะถูกทดสอบว่าเป็นของจริงหรือไม่ต้องทดสอบด้วยไฟ ในยามถูกทดสอบเรื่องปัญหา ความทุกข์ยากลำบากนั้น เราจะได้สารภาพบาป หรือขอบคุณพระเจ้า

แทนที่เราจะโทษคนอื่น เรามาสำรวจจิตใจและการกระทำของเราเองดีกว่า เพื่อป้องกันการโทษคนอื่น โดยไม่สำรวจว่าเราเคยหว่านอะไรลงไป เช่น เราเคยดูถูกเขาคนนั้น หรือไม่ช่วยเหลือ ยามเขายากลำบาก วันนี้เหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นกับเรา เราก็ถูกกระทำเช่นนั้นเหมือนกัน ก็จะได้ขอบคุณในเหตุการณ์ตอนนี้ เพื่อจะได้เปลี่ยนท่าที กลับใจใหม่ และสารภาพบาปที่เราได้เคยได้ทำแบบนั้นไป จะได้รีบแก้ตัวใหม่ แบบนี้พระเจ้าทรงชอบและทรงอวยพรครับ หรือเราสำรวจจิตใจแล้วว่าเราไม่เคยทำผิดแบบนี้กับใคร ใช่ มันคือการทดสอบ

เราต้องเข้าใจก่อนนะครับว่าการทดลองนำเราไปสู่การล้มลง แต่การทดสอบ ก็เพื่อจะเช็คสภาพ ความเชื่อ ความเป็นผู้ใหญ่ ความสามารถของเราจะเผชิญสิ่งนี้ได้หรือไม่ และขอให้ท่านผ่านการทดสอบนี้ให้ได้นะครับ

ค่านิยมใหม่ของเรา คือ ทำดี ไม่สนใจว่าเขาจะตอบแทนเราอย่างไร แต่เราจะทำดีต่อเขา เพราะเป็นนิสัยเป็นชีวิต เป็นค่านิยมของเรา เพราะเชื่อเชื่อกฎในการหว่าน ว่าหากเราหว่านสิ่งที่ดี แม้คนนั้นจะตอบแทนร้าย แต่พระเจ้าก็จะชดเชยให้แก่เรา ตอบแทนเรา เพราะเราทำดีให้พระเจ้า เพื่อพระเจ้า และพระองค์จะทรงตอบแทน ไม่ได้ทำดีเพราะเขา เท่านั้น
การทำดี เป็นค่านิยม การเริ่มก่อน การตอบแทนด้วยการดี การกระทำเหล่านี้ควรเป็นค่านิยมใหม่ของเราผู้เป็นคริสตชน เพราะไม่มีการหว่านใดไม่มีการเก็บเกี่ยว ดังนั้น เราจะเกี่ยวเก็บสิ่งดีหรือไม่ดีอยู่ที่การกระทำของเราในวันนี้ ครับ

หมวดการบำบัด - ตอนที่ 6:การหว่านและการเก็บเกี่ยว

การหว่านและการเก็บเกี่ยว

สิ่งที่เป็นผลของนิสัยทุกวันนี้ เพราะมันมีรากของมันเหมือนต้นไม้ เมื่อมีผล ย่อมบอกให้รู้ว่าต้นไม้นี้มีราก พระคริสต์ทรงสอน ต้นไม้ดีผลย่อมดี ต้นไม้เลว ผลก็เลวด้วย ยามเราพบปัญหา ต้องถามว่าพระเจ้าให้เราเก็บเกี่ยวผลที่เราเคยหว่าน จนเป็นรากและเป็นต้นสู่การเกิดผลที่เรากำลังรับหรือไม่

มีหญิงคนหนึ่งผู้เขียนหนังสือมากมายเกี่ยวกับการบำบัดเยียวยา จอช์ย เมย์เยออ์ เธอตั้งครรภ์ ปรากฎว่า ลูกคนที่สี่ คลอดลำบากเธอมีอาการอยากอาเจียน เวียนศรีษะ และคลอดด้วยความลำบากมาก วันหนึ่งเธอนอนที่โซฟาและอธิษฐานต่อพระเจ้า จนพระองค์สำแดงว่าเมื่อสองปีก่อนเธอตำหนินักเรียนเช้าวันอาทิตย์ที่ท้องว่าที่นักเรียนคนนี้ขาดเรียน ขาดเพราะไม่รักพระเจ้าแค่ท้องเท่านั้นเอง เรื่องอาการวิงเวียน ปวดหัวอยากอาเจียนก็เป็นแค่ข้ออ้าง แต่วันนี้เมื่อเธอท้อง สิ่งที่เธอเคยตำหนินักเรียนเช้าวันอาทิตย์ของเธอนั้นกลับมาสู่ตัวเธอเอง

ปัญหาทุกอย่างเกิดจากราก เมื่อมีราก จะส่งผลมาสามทาง
1) การละเมิดทางร่างกาย
2) การละะมิดทางอารมณ์
3) การละเมิดทางคำพูด

การแก้ที่ราก เราควรแก้ที่ราก ตัดรากทิ้ง แต่ไม่ใช่ตัดผล เพราะมันยังมีราก และมันก็ยังเกิดผลอออกมาอีก ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น มีเสี้ยนอยู่ในมือ คือ รากมันตำเรา และเราเจ็บคือ ผล เราต้องเราเสี้ยนออก ไม่ใช่แค่ใส่ยา แล้วก็จะหาย

เชื้อวัชพืชต้องตัดถอนต้นหญ้าวัชพืชออก แต่ไม่ใช่แค่ตัดหญ้าเท่านั้น เพราะแม้ตัดหญ้า แต่วัชพืชยังคงอยู่ต่อไป บางครั้งเราใส่ปุ๋ยเติมเข้าไป วัชพืชของเราก็เจริญขึ้น เช่น สิ่งที่พูด สิ่งที่คิด สิ่งที่เก็บเอามาไว้ในใจ (โดยการมอง ฟัง สถานที่ไป คนที่พูด)

การหว่านและเกี่ยว กท6:7 “ อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น”

การหว่านเก็บเกี่ยวเกิดขึ้นเป็นประจำและ เป็นเรื่องที่อาจเกิดขึ้นวันนี้ ว่าเราเลือกที่จะหว่านอะไร การหว่าน คำพูด หว่านการทำ หว่านความคิด เราก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งต่าง ๆ ในนั้น ตามที่เราหว่าน หากไม่อยากมีบาดแผล ก็อย่าหว่านสิ่งไม่ควรหว่าน ไม่อยากเก็บเกี่ยวสิ่งใด ก็อย่าหว่านสิ่งนั้น

เราควรหว่านสิ่งที่ดี
๐ ความมี คุณธรรม
๐ เชื่อฟัง เจ้านาย บิดามารดา สามี
๐ สะสมพระคำ คำสอนที่ดี ไว้ในใจ
๐ บริหาร ดูแล การเงิน เวลาดี ไม่เบียดเบียนใคร รู้จักอดออมสะสม ท่านจะเป็นคนให้ยืม ไม่ใช่ขอยืม


ชีวิตที่มีความบริสุทธ์ คือการแยกตัวจากสิ่งชั่วร้าย ผิดศีลธรรม จากการนินทาว่าร้าย คิดร้ายต่อผู้อื่น ชีวิตท่านจะเก็บเกี่ยว ความสงบ สันติสุข ความยินดี อย่างแน่นอน เพราะท่านมองโลกในแง่ความจริง ถูกต้อง พระเจ้ายุติธรรม เราจะมีความสุขกับกลุ่มคนที่เราอยู่ด้วย เพราะท่านคิดดี พูดดี ใจดี ท่านก็จะน่ารักในสายตาคนทั้งหลาย ไม่มีพิษไม่มีภัย ไม่มีอันตรายใด ๆ มาย่างกราย คนรอบข้างอยากปกป้อง อยากเข้าใกล้ เพราะท่านมีชีวิตที่ดี เพราะท่านหว่านสิ่งที่ดีแล้วครับ

หมวดการบำบัด - ตอนที่ 5:รากของบาดแผลจากการไม่ให้เกียรติบิดามารดา

รากของบาดแผลที่เกิดขึ้นมากที่สุดคือ
จากการไม่ให้เกียรติบิดามารดา


จากการให้คำปรึกษาและการสรุปที่มาของบาดแผลและความเจ็บปวดของคนเอเชีย ผมรู้สึกว่าปัญหาที่พบมากคือมาจากรากของบิดามารดา

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่าบิดา-มารดาย่อมได้เกียรติในครอบครัวอยู่เสมอ และครอบครัวจะแข็งแรงนำสู่สังคมเข้มแข็ง สถาบันครอบครัว พระเจ้าทรงให้บิดา-มารดาเป็นผู้นำ ในตำแหน่งทรัพยากรในสังคม ใครทำลายครอบครัวคนนั้นทำลายตนเอง

ทุกศาสนา ทุกคำสอน ที่เราหลีกไม่ได้คื การให้เกีรยติแก่บิดามารดา โดยเฉพาะคริสตชน หลักการข้อแรกมาจากพระคัมภีร์เดิม หนึ่งเดียวในบัญญัติสิบประการที่มีพระสัญญาข้อหนึ่ง คือ "จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า .....เพื่อเจ้าจะมีชีวิตยืนนาน และเจ้าจะไปดีมาดีในแผ่นดินซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเจ้าประทานให้แก่เจ้า" (ฉธบ 5:16)

นี่เป็นหลักการที่เป็นความจริงอย่างยิ่ง ไม่ว่าในแง่มุมใดในชีวิตเรา ที่เราได้ให้เกียรติแก่บิดามารดาของเรา ในชีวิตส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา เพื่อเราจะไปดีมาดี

ทำไมเรื่องนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุของรากของบาดแผลครับ เพราะคำแช่งสาปไงครับ ทุกศาสนาสอนชัดว่าผู้ไม่ให้เกียรติบิดามารดา ไม่มีใครไปดีมาดีหรอกครับ และคนที่มีปัญหากับพ่อแม่จะมีความสุขอย่างไรได้ สิ่งที่ตามมา เช่น ความขมขื่น ความโกรธ เกลียด พ่อแม่ท่านอาจจะไม่ได้ทำผิด แต่เราเข้าใจผิด หรือเราทำตัวไม่ได้ให้เกียรติ ลบลู่ท่าน ไม่ดูแลท่าน

การให้เกียรติ คือ การเชื่อฟัง พยายามให้ความเคารพนับถือ รัก และให้อภัย พ่อแม่บางคนอาจไม่สมควรได้รับเกียรติ แต่พระเจ้า (ทุกศาสนา) ก็สอนให้เราพยายามด้วยความจริงใจ

๐ เราต้องเข้าใจก่อนว่า พ่อแม่ก็เป็นคนบาปเป็น มนุษย์ปุทุชนธรรดาคนหนึ่งไม่ใช่เหมือนนิยายบางเรื่อง หรือภาพยนต์บางเรื่องที่ฉายมุมดี ๆ สองชั่งโมงจบ ที่จะพูดแต่เรื่อง น่ารัก ๆ เท่านั้น

๐ พ่อแม่เราเอง ท่านเองอาจก็เคยประสบกับเหตุการณ์ที่เรารู้สึกว่า ที่ท่านทำกับเราก่อนเช่นกัน

๐ ดังนั้นเราให้เกียรติท่าน ไม่ใช่เพราะว่าท่านดีไม่ดี หรือสิ่งที่ท่านทำผิดพลาด จะกลายเป็นไม่พลาด เพราะเราต้องให้เกียรติ แต่เพราะพระเจ้าทรงสั่ง และสั่งเป็นกฎฝ่ายวิญญาณแก่เราว่า เพื่อเราจะได้ไปดี มีสุข และ หลักการนี้ก็เป็นจริงในทางกลับกันด้วยเช่นเดียวกัน และเป็นพื้นฐานในการวินิจฉัยของเรา ไม่ว่าในแง่มุมใดในชีวิตของเรา ที่เราไม่สามารถหรือไม่ได้ให้เกียรติแก่บิดามารดาอย่างที่ลูกควรจะให้แก่พ่อแม่ ชีวิตของเราจะมีปัญหา

เมื่อมีคนมาขอคำปรึกษาจากเรา ไม่ว่าจะเป็นปัญหาเรื่องใด วิธีการรักษาของเราก็มักจะเหมือนกัน คือเราจะฟังรายละเอียดของปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน แล้วเราจะสำรวจดูว่ามีส่วนใดในชีวิตของคนนั้นที่ไม่ได้ให้เกียรติแก่บิดาหรือมารดา หรือเขาตำหนิโทษบิดามารดาหรือไม่ ทั้งที่ เรื่องนั้น ๆ เป็นหน้าที่ของตนเอง หรือ บางคนขมขื่นชีวิตในปัจจุบัน เพราะโทษบิดามารดาที่ให้เขาเกิดมาเป็นแบบนี้

หลักการของพระเจ้าเป็นจริงแน่นอน เมื่อเราพรากจากกฎเกณฑ์พื้นฐานของพระเจ้า ความยุ่งยากก็จะเข้ามา ในวันนี้หากใครยังขมขื่น โกรธ น้อยใจ เรื่องหนึ่งเรื่องใดในแง่ของบิดามารดา ขอให้ท่านยกโทษให้อภัย หาโอกาสวันดี ๆ ไปเยี่ยม กราบ หรือเชิญท่าน พาท่านไปทานข้าว หากพ่อแม่ตายไปแล้ว ให้เราสารภาพยกโทษอภัยแก่ท่าน ที่ท่านอาจเคยทำผิดต่อเรา อย่าเก็บความขมขื่นนั้นไว้นาน จนทำลายชีวิตในปัจจุบันของเราครับ

หมวดการบำบัด - ตอนที่ 4:อธิษฐานเยียวยาส่วนตัว

หลักการอธิษฐานเยียวยาส่วนตัวแนวทางคริสเตียน

1)สารภาพบาป (ยน1:9)
๐ สารภาพบาปจากผลที่มาจากบาดแผลที่ส่งผลกระทบต่อผู้อื่น หรือต่อนิสัยในการดำเนินชีวิตของเรา

๐ การสารภาพสำคัญมาก ท่านระบายความโกรธ เจ็บ ต้องระบายออกมาให้หมดต่อหน้าพระเจ้า เพราะหากสิ่งนั้นอยู่ในใจ การประกาศยกโทษจะออกมา

2)หารากของปัญหา
๐ หาราก ว่าสาเหตที่เรามีอาการเช่นนี้เพราะเหตุใด สาเหตุมาจากอะไร และอธิษฐานตัดความสัมพันธ์ หรือการยกโทษให้อภัย หรือปฎิเสธจากคำพูด การดูหมิ่นนั้น

3)อธิษฐานตัดความสัมพันธ์(1ปต2:23-24)ควรออกเสียงให้ได้ยินเบาๆ
๐ ทุกอย่างนำไปที่กางเขน
การอธิษฐานออกเสียงขอให้พระเจ้ายกโทษให้ และนำสิ่งที่เห็นนั้นไปตรึงตายบนกางเขน แต่มันก็มักไม่ตายไปง่าย ๆ ต้องอาศัยความตั้งใจแน่วแน่ของผู้ที่รับการบำบัดภายใน ร่วมกับผู้ให้การบำบัดที่มีชีวิตในพระคริสต์ เราต้องใช้ความอดทนและไม่ยอมแพ้ที่จะจับตัวเก่าตรึงไว้บนกางเขน ให้นานพอทีมันจะตายสนิท
๐ หากเป็นคำพูด คำสัญญา ก็ประกาศยกเลิก คืนคำพูด และมอบไปที่กางเขน
๐ หากเป็นการกระทำ ความขมขื่นเจ็บปวด ปฏิเสธ และประกาศยกเลิก นำไปตรึงที่กางเขน

4)รากฐานชีวิตใหม่(รม12:1-2)
พระคำหนุนใจ
๐ ประกาศกับตัวเอง ในการเป็นไท และเสรีภาพตามพระสัญญา
๐ คำหนุนใจ ประกาศถ้อยคำการยกโทษให้อภัย
๐ ขอเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมา และครอบครองส่วนนั้นที่ปลดปล่อย
๐ พระคำพระเจ้าสำคัญมาก

วินัยและความอดทน
๐ อย่าท้อใจเมื่อต้องทำบ่อย ๆ
๐ อย่าท้อเมื่อพลาดอีก
๐ อย่าท้อเมื่อต้องรายงานผู้ทำบำบัด
๐ อย่าท้อเมื่อยิ่งเห็นแผล ความผิดพลาดมากขึ้นและพร้อมจะจัดการมัน
๐ การมีทีมผู้ดูแล และรายงานการกระทำ เมื่อล้มลงอีกรับการประกาศให้อภัย
๐ วินัยใหม่ ในการคิดเป็นอยู่ ตั้งใจปล้ำสู้
๐ สิ่งที่มองฟัง คิด หนังสือ เพลง คนที่คุย คบด้วย การเข้าร่วมกิจกรรม ที่พัฒนากลุ่มคริสเตียนที่รักพระเจ้า และสร้างสรรค์ชีวิต

หมวดการบำบัด - ตอนที่ 3:ความเข้าใจก่อนรับการเยียวยา

ความเข้าใจก่อนรับการเยียวยา
ผู้ให้การเยียวยา
ความรักและความเป็นผู้ใหญ่สำคัญมาก ต้องเป็นคนใจเย็นและรับฟัง มีสติปัญญา ถ้อยคำแห่งความรู้จะช่วยได้มาก

อย่ายึดรูปแบบเดียว บางเรื่องอาศัยความรัก การระบาย บางเรื่องเกี่ยวกับยา อย่าปฎิเสธที่จะส่งต่อไปยังแพทย์ผู้ชำนาญ บางเรื่องเกี่ยวกับวิญญาณ บางเรื่องเกี่ยวกับการขาดความรัก หรือปฏิเสธในครอบครัว

หากทำในกลุ่ม หรือคนคุ้นเคย สนิทสนม หรือในคริสตจักร อย่านำเรื่องบาดแผล ปัญหาของผู้รับการบำบัดมาเป็นเรื่องที่ล้อเล่น

ระวังการควบคุมกับคนที่เราช่วยเหลือ ผู้รับการเบียวยา ต้องการกำลังใจและการมีใจห่วงใย มากกว่ารู้สึกว่ากำลังถูกจ้องจับผิด จะทำให้ผู้รับการเยียวยาไม่กล้ามาสารภาพ เล่าความผิดพลาดกับเรา และเราก็จะพลาดโอกาสรับรู้ความคืบหน้าไป ทั้งสองคนควรดำเนินชีวิตแบบธรรมชาติ

หากตัดสินใจจะรับการเยียวยาควรมีเวลา รับการบำบัดต่อเนื่อง สม่ำเสมอ เหมือนหมอ ผ่าตัดแล้วควรมีการเย็บแผล ทำแผล ให้เรียบร้อย

ผู้รับการเยียวยา
อย่ามุ่งแต่คิดว่าเรามีแผล มีปัญหาดังคนไข้ตลอด จะเป็นแบบนี้ตลอดไป ผู้รับบำบัดควรตั้งใจวางรากฐานใหม่ มีวิถีชีวิตใหม่ตามคำแนะนำจากผู้บำบัด

ยอมรับการดูแลจากใครสักคนต่อเนื่อง เพราะการเยียวยาเหมือนการลอกหัวหอมออกทีละชั้น ๆ หรือการแก้ซ่อมสมุดทีละหน้าๆ หรืออาจรับการดูแลภายในกลุ่ม คนในกลุ่มที่เรารู้สึกปลอดภัยและรับการเตือนได้

หมวดการบำบัด - ตอนที่ 2:เสรีภาพจากบาดแผล

เสรีภาพจากบาดแผล

ความสดใสสะอาดของชีวิตทั้งสามด้าน สำคัญมาก!

"ให้เราชำระตัวเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของเนื้อหนังและวิญญาณ" 2โครินธ์ 7:1


ในพระคัมภีร์ไบเบิลสอนชัดเจนว่าคนเราทุกคนเมื่อรู้สึกดีกับตัวเอง หรือความรู้สกไม่ดี หรือมีอะไรฟ้องผิดในใจ (วิญญาณจิต) ความคิด (หัวใจ) แม้ร่างกายสะอาดย่อมไม่มีความมั่นใจในการดำเนินชีวิตและประกอบอาชีพการงานอย่างแน่นอน


ปัจจุบันเราจึงมีสอน อบรมด้านบุคลิคภายนอก แต่สิ่งสำคัญคือความสุขแท้จริงภายในต่างหากที่จะมั่นคงถาวรที่สุด ซึ่งต้องสัมพันธ์กันทั้งภายนอกและภายในต่างหาก


พระเจ้าต้องการให้เราชำระร่างกายสะอาด การดูแลสุขภาพและร่างกายสะอาดส่งผลต่อจิตใจมั่นคง และร่างกายสะอาด ทำสิ่งถูก ทำให้เกิดความรู้สึกมีคุณค่ากับตัวเอง


ด้านจิตใจ จะสะอาดเมื่อปราศจากความโลภ โกรธ หลงใหล ใจเข้มแข็ง ไม่โลเล ไม่หมกมุ่นต่อสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อวิญญาณจิตและใจของเรา ปราถนาแต่พระเจ้า แรงจูงใจเพื่อพระเจ้า เพื่อความดี เพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ย่อมมีความสุขอย่างเต็มที่


ด้านวิญญาณจิตที่สะอาด ในพระคัมภีร์ไบเบิล 1ธส.5:23 "ขอให้องค์พระเจ้าแห่งสันติสุขทรงให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจด และทรงรักษาทั้งวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านไว้ให้ปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูคริสต์เจ้าของเราเสด็จมา"
หมายถึง จิตวิญญาณ หรือจิตใจของเราปราศจากการครอบงำจากราคะ หรืออะลุ่มอล่วยเรื่องผิดต่อศีลธรรม ความดื้อดึง หลงใหล รัก โลภ บางนิสัยที่ครอบงำในจิตใจ และทำจนเป็นนิสัย รับอิทธพลจากเหตุการณ์ในวัยเด็ก ที่เราลืมไปแล้วก็มี


สามส่วนสัมพันธ์ ส่งผลต่อเสรีภาพในการดำเนินชีวิต เพราะมีหลายคนที่บุคลิคภายนอกดีมากมาย แต่ในจิตใจ จิตวิญญาณ (จิตใจ) ไม่สะอาด ไม่มีสันติสุข และเสรีภาพเลย บางคนภายนอกดี แต่ไม่สามารถเปิดเผยและแสดงชีวิตจริงของตนได้เลย เลยต้องดำเนินชีวิตสองหน้า ปราศจากอิสระภาพจริง ๆ ในการดำเนินชีวิตในโลกนี้

หมวดการบำบัด - ตอนที่ 1:ทำไมต้องเยียวยารักษา

ทำไมต้องเยียวยารักษา

เราจะทำการปลดปล่อยและการเยียวยาวิธีไหน

ไม่มีวิธีไหนดีที่สุด โดยเฉพาะผู้บำบัดคริสเตียนที่เชื่อในเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งกลุ่มนี้จะเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงนำวิธีไหนในแต่ละคนไม่เหมือนกัน

อาการระดับไหนที่ต้องการการเยียวยา

ก่อนจะเข้าสู่การเยียวยาควรมีช่องทางหรือความเข้าใจก่อนว่าเรื่องนั้นมีผลกระทบระดับไหนต่อเรา เช่น พฤติกรรมนั้นเป็นเรื่องที่เราต่อสู้และไม่เคยชนะเลย หรือเป็นนิสัยที่มีผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตภายในครอบครัว คู่สมรส หรือที่ทำงานมาก

หลังการเยียวยาเป็นการจบสิ้นหรือไม่? ยังครับ ยังมีการรายงานและพบกับผู้ทำการเยียวยา รูปแบบพบส่วนตัว หรือภายในกลุ่ม Accountability เพื่อให้รู้ว่ามีคนดูแลเอาใจใส่ และมีการสร้างวินัยที่หลายอย่างต้องไปทำ และบางอย่างต้องหลีกเลี่ยง

ทำไมต้องรับ การเยียวยาปลดปล่อย

โดยเฉพาะคริสตชนที่เชื่อในเรื่องความรอด (Salvation) มักเชื่อว่าทุกสิ่งสำเร็จที่ไม้กางเขนแล้ว แต่อย่าลืมว่าหายเรื่องฝ่ายวิญญาญฯ สำเร็จจริงๆ ในนิตินัย แต่ด้านพฤตินัย เราคงรำคาญกับนิสัย หรืออาการที่เราอ่อนแออยู่ ก็คือบางเรื่องที่เราไม่สามารถทำได้โดยลำพัง ต้องพึ่งการสารภาพ การบำบัด ปลดปล่อยอย่างเป็นขบวนการ

อีกเรื่องที่น่าสนใจ คือ บาดแผลหรือการถูกกระทำในวัยเด็ก การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสม และสังคมที่เราอยู่ บวกกับความอ่อนแอของเราในเวลานั้นๆ บางคนสามารถชนะได้อย่างง่ายดาย แต่บางคนไม่สามารถผ่านไปได้ จำเป็นมากที่การให้คำปรึกษา การบำบัดเยียวยาต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่จะอยู่ในระดับไหน แล้วแต่คนๆ ไป

บางคน บางเรื่อง ไม่จำเป็นต้องรับการบำบัดจากผู้บำบัด เพราะหลังจากรับความรอด ได้เข้าสู่สังคมใหม่ของกลุ่มคริสตชน และการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า การอธิษฐาน ภาวนา การอ่านพระคัมภีร์ไบเบิล การสามัคคีธรรมในกลุ่มย่อย ความรักเหล่านี้สามาถเยียวยา ชดเชยเขาได้ และการเจริญเติบโตผ่านการอ่านวรรณกรรม การมาโบสถ์ทุกวันอาทิตย์เหมือนอาหารฝ่ายจิตวิญญาณของเรา เหมือนการรับน้ำใหม่เข้ามา ขับไล่น้ำเก่า แต่นิสัย บาดแผล บางคนต้องการรับการดูแลจากผู้ทำการบำบัดเป็นระยะๆ