วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Worship - Grace



Grace
Artist(Band):Michael W. Smith


I was lost when ya found me here
You pulled me close and held me near
And I'm a fool but still you love
I'll be your fool for the king of love

He gave me wings so I could fly
And gave me a song to color the sky
And all I have is all from you
And all I want is all of you

It's grace, grace
I'm nothing without you
Grace, your grace
Shines on me

And there've been days when I've walked away
Too much to carry
Nothing left to say
Forgive me Lord when I'm weak and lost
You traded heaven for a wooden cross

And all these years you've carried me
You've been my eyes when I could not see
And beauty grows in the driving rain
Your oil of gladness in the times of pain

It's grace, your grace
I'm nothing without you
Grace, your grace
Shines on me
Your grace, your grace
I'm nothing without you
Grace, your grace
Shines on me oh yeah
Shines on me
Shines on me
I'm everything with you
Shines on me
Shines on me
It's your grace
Shines on me
Your grace
Oh
Your grace it shines on me
Your grace
Your grace
Shines on me
Shines on me
Your grace it shines on me
Your grace

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Gifts n Grace - Christian gift for christmas

ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ร้านคริสเตียนนะคะ

ในช่วงคริสต์มาสและปีใหม่ที่จะมาถึง หากท่านกำลังมองหาของขวัญที่มีความหมายสำหรับคนพิเศษและคนที่คุณรัก
ขอเชิญแวะชมร้าน กิฟส์แอนด์เกรซ นะคะ



กิฟส์แอนด์เกรซเป็นร้านที่รวบรวมสินค้าคริสเตียน ทั้งในประเทศ และสินค้าคริสเตียนนำเข้าจากต่างประเทศ และรับสั่งทำของพรีเมี่ยม ของชำร่วยในวาระต่าง ๆ

โดยรายได้ของกิฟส์แอนด์เกรซมีส่วนสนับสนุนกลุ่มพันธกิจค่ะ
จะแวะมาชมร้านที่กลุ่มพันธกิจแม่น้ำ
59 สายทิพย์แกรนด์วิลล์ (ห้อง 206), ซอยสุขุมวิท 56, ถนนสุขุมวิท, บางจาก, พระโขนง, กทม. 10260
โทร: 0-2741-5974, 081-911-1049;
แฟกซ์: 0-2741-5974;
อีเมล: giftsandgrace@gmail.com

หรือชมสินค้าจากเว็บไซต์ก็ได้ค่ะ
www.giftsngrace.com

มีตัวอย่างสินค้าคริสเตียนให้ชมด้วยค่ะ เผื่อสำหรับของขวัญคริสต์มาสปีนี้ด้วยค่ะ











ประกาศ - ผู้ติดตาม

ประกาศ

ท่านที่ต้องการรับบทความทางอีเมล์ สามารถสมัครที่คำว่า "ผู้ติดตาม" ด้านขวาล่าง แต่ท่านต้องเป็น Gmail ,Yahoo เมื่อมีการเพิ่มข้อมูลใหม่ทุกครั้ง บทความจะส่งไปยังอีเมล์ของท่านทันที ครับ

Chirstmas special - Santa Claus

ซานตาคลอส




พูดถึง ก็จะคิดถึงผู้ชายแก่รูปร่างอ้วนพุงยื่น สวมเสื้อผ้าชุดสีแดงสด คาดเข็มขัดสีดำขนาดใหญ่ มีหนวดเคราสีขาว และสวมหมวกสีแดงไพล่ย้อยไปข้างหลัง บนไหล่ถูกพาดไว้ด้วยถุงทะเลขนาดใหญ่ ดูเหมือนตัวตลก แต่ความจริงเขามีเสน่ห์ไม่น้อย เพราะเด็กต่างรักและหลงไหลอยากจะใกล้ชิดสนิทด้วย เพราะอย่างน้อยก็มีสิทธิ์ได้ส่วนแบ่งซึ่งเป็นขนมที่ถูกบรรจุอยู่ในถุงทะเลใบนั้น เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาสตามห้างร้านสรรพสินค้าน้อยใหญ่ มักนิยมแต่งชุดซานตาคลอสออกแจกขนม

ในต่างประเทศโดยเฉพาะซีกโลกตะวันตก พวกเด็ก ๆ มีความผูกพันต่อซานตาคลอสเป็นอย่างยิ่ง คือ เด็กพากันเชื่อว่าซานตาคลอสปักหลักอาศัยอยู่ในสวนหิมะที่ขั้วโลกเหนือ พอถึงวันที่ 24 ธันวาคม ก่อนถึงวันคริสต์มาสหนึ่งวันซานตาคลอสก็จะนั่งเลื่อนที่ลากด้วยกวาง ตระเวนไปยังบ้านซึ่งมีเด็กอาศัยอยู่ เมื่อไปถึงแล้วแกก็จะพาร่างอุ้ยอ้ายอันเป็นเสน่ห์ปีนป่ายเข้าบ้านทางปล่องไฟ (บ้านในแถบอากาศหนาวจัด ที่ห้อมล้อมไปด้วยหิมะทุกหลัง ต้องมีเตาผิงเพื่อปรับอุณหภูมิภายในบ้านให้อบอุ่น ปล่องไฟคือส่วนหนึ่งของเตาผิงสำหรับระบายควันออกสู่ภายนอก) แล้วมองหาเด็ก ๆ ที่กำลังหลับสนิท เมื่อพบแล้วเขาก็จะเอาของขวัญซุกซ่อนไว้ในถุงเท้าคู่ใหญ่ที่คุณแม่แขวนไว้ที่ปลายเตียงนอนพร้อมกับกระซิบกล่าวคำอวยพรคริสต์มาสที่หูของเด็กก่อนออกจากบ้านไป




แต่ความเป็นจริงแล้วการที่เด็ก ๆได้รับของขวัญในคืนวันที่ 24 ธันวาคม นั้นมิใช่ซานตาคลอสคนไหนหรอกที่เสี่ยงภัยปีนปล่องไฟหอบของขวัญมาให้ถึงที่ ทั้งยังมีโอกาสที่จะเจอลูกปืนพร้อม ๆ กับถูกไฟไหม้ค่อนข้างสูงไม่น้อย แล้วอย่างนั้นของขวัญเหล่านั้นมาจากไหนล่ะ…ก็คุณพ่อคุณแม่ของเด็ก ๆ นั่นเอง ที่นำเอาของขวัญมาซุกใส่ไว้โดยไม่รู้ตัว บางทีกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นอะไรก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว และเมื่อแต่งงานมีครอบครัวมีลูกมีหลานเขาก็ทำอย่างนี้กับลูกหลานต่อไป เคยมีคนกล่าวและเปรียบเทียบเด็กบริสุทธิ์เหมือนผ้าขาวสะอาด ไม่มีมารยา ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ไม่เสแสร้ง ป้อนข้อมูลอะไรให้เด็ก เขาก็จะรับไว้หมดโดยไม่คลางแคลงสงสัย ดุจเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์กระนั้น

ในเรื่องของ “ซานตาคลอส” ก็เช่นกัน เด็ก ๆ พากันเชื่อทั้งหลงไหลเอามาก ๆโดยเฉพาะเด็ก ๆอเมริกัน ในทุก ๆ ปี เมื่อถึงเทศกาลคริสต์มาส พวกเขาจะพากันเขียนจดหมายถึง “ซานตาคลอส” จ่าหน้าซองส่วตรงไปยังขั้วโลกเหนือ บางทีส่งไปที่รัฐอินเดียนา ซึ่ง ณ ที่นั้นจะมีพวกอาสาสมัครหนุ่มสาวชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากคอยตอบจดหมายของพวกเด็ก ๆ เพื่อหยิบยื่นความสุขให้แก่เด็ก ๆ เหล่านั้น

ที่มาของ “ซานตาคลอส” หรือผู้แจกของขวัญให้แก่เด็ก ๆ มีมาตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 4 ในประเทศฮอลแลนด์ ท่านผู้นี้เป็นบิชอพชื่อ “เซนต์ นิโคลัส” เป็นคนรักเด็กและคนยากจน ท่านมีชื่อเสียงในความเมตตากรุณาและสังคมสงเคราะห์ มีเรื่องเล่าว่า ครั้งหนึ่งท่านได้ห่อทอง 3 ห่อแก่หญิงสาว 3 คนเป็นค่าติดตัวสำหรับแต่งงาน เพื่อช่วยให้พ้นจากความอับอายและการเป็นทาส มีชาวอพยพยุโรปนำเรื่องไปเล่าต่อ ๆ กันที่อเมริกา



ความจริงการเลี้ยงฉลองวันเซนต์ นิโคลัส ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม แต่ต่อมาเมื่อท่านกลายเป็น “ซานตาคลอส” การฉลองก็เลยผสมกับคริสต์มาส เพราะเป็นบรรยากาศเดียวกันกับการแสดงความเมตตากรุณาและความไม่เห็นแก่ตัว สำหรับเรื่องรูปร่างหน้าตาของ เซนต์ นิโคลัสนั้น นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกันชื่อ “โธมัส แนส” เป็นคนแรกที่วาดขึ้นมาจากจินตนาการของเขาเอง รูปลักษณะอย่างที่เราเห็นกันในทุกวันนี้

Chirstmas special - New gen X'Mas Song

Sixpence None The Richer - "Angels We Have Heard On High"






Chirstmas special - Silent night

ยามราตรี /Silent night




ยามราตรี ศรีหรรษา
Silent night, holy night,
มีราชา มาประสูติ
All is calm, all is bright.
จากสาวพรหมจารีบริสุทธิ์
Round yon virgin mother and child;
เป็นกุมาร น่ารักที่สุด
Holy infant, so tender and mild,
มาเพื่อช่วย ชาวโลกา
Sleep in heavenly peace;
มาเพื่อช่วย ชาวโลกา
Sleep in heavenly peace.

ยามราตรี แสนดีเลิศ
Silent night, holy night,
พระเยซู ผู้ประเสริฐ
Son of God, love's pure light.
เป็นพระเจ้าเสด็จลงมาบังเกิด
Radiant beams from Thy holy face,
ทูตสวรรค์ สรรเสริญชูเชิด
With the dawn of redeeming grace.
เพราะผู้ไถ่ ได้บังเกิด
Jesus, Lord, at Thy birth;
เพราะผู้ไถ่ ได้บังเกิด
Jesus, Lord, at Thy birth.

ยามราตรี ศรีสำราญ
Silent night, holy night,
เมษบาลพากันไป
Shepherds quake at the sight.
เฝ้ากุมาร ที่หมู่บ้านเบ็ธเลเฮ็ม
Glories stream from heaven afar,
เห็นพระองค์ทรงสุขเกษม
Heavenly hosts sing "Alleluia.
บรรทมอยู่ในรางหญ้า
Christ the Savior is born;
บรรทมอยู่ในรางหญ้า
Christ the Savior is born."

ยามราตรี ศรีสง่า
Silent night, holy night
, เป็นเวลา เรารอดบาป
Wondrous star, lend thy light.
เพราะพระเยซูช่วยพ้นคำแช่งสาป
With the angels, let us sing,
สมควรสรรเสริญโมทนา
Alleluia to our King.
เราจึงกราบไหว้บูชา
Christ the Savior is born;

Chirstmas special - Hark! The Herald Angels Sing

Hark! The Herald Angels Sing



จงฟังเพลงแห่งทูตสวรรค์ สาธุการพระเจ้าเบื้องบน
Hark! the herald angels sing, "Glory to the new born King;

พระเมตตาพระเจ้าสูงสุด สวัสดีแก่ชนมนุษย์
Peace on earth and mercy mild, God and sinners reconciled."

ทุกประเทศจงตื่นยินดี ร้องเพลงกับชาวฟ้ารังสี
Joyful, all ye nations, rise, Join the triumph of the skies;

เปล่งเสียงขึ้นด้วยใจชื่นเต็ม พระคริสต์เกิดที่เบธเลเฮ็ม
With angelic hosts proclaim, "Christ is born in Bethlehem."

เชิญฟังเพลงแห่งทูตสวรรค์ สาธุการพระเจ้าเบื้องบน
Hark! the herald angels sing, "Glory to the new born King."


องค์พระคริสต์ สถิตเบื้องบน เป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์
Christ, by highest heav'n adored, Christ, the everlasting Lord;

ถ่อมพระทัยลงมากำเนิด แต่มาเรียหญิงผู้ประเสริฐ
Late in time behold Him come, Offspring of a virgin's womb.

องค์พระเจ้าใหญ่ยิ่งสูงสุด ลงมาทรงกายามนุษย์
Veiled in flesh the Godhead see, Hail, the incarnate Deity!

จงสาธุผู้ปรากฏเป็น พระเยซู อิมมานูเอล
Pleased as man with men to dwell, Jesus our Emmanuel.

เชิญฟังเพลงแห่งทูตสวรรค์ สาธุการพระเจ้าเบื้องบน
Hark! the herald angels sing, "Glory to the new born King."


พระเยซูเป็นมิตรไมตรี ทรงพระนามผู้เลี้ยงอันดี
Hail the heav'n born Prince of Peace! Hail the Sun of righteousness!

เป็นสว่างแห่งความชอบธรรม ส่องทั่วทุกประเทศชูค้ำ
Light and life to all He brings, Ris'n with healing in His wings

ทรงมาหาคนผู้หลงหาย เกิดเพื่อช่วงปวงชนพ้นตาย
Mild He lays His glory by Born that man no more may die;

และทรงยกบาปโทษให้พลัน รอดชีวิตตลอดนิรันดร์
Born to raise the sons of earth, Born to give them second birth.

เชิญฟังเพลงแห่งทูตสวรรค์ สาธุการพระเจ้าเบื้องบน
Hark! the herald angels sing,"Glory to the newborn King!"

Chirstmas special - Christmas song

เพลง…คริสต์มาส

ในบัตรอวยพรคริสต์มาส พวกเราคงเคยเห็นภาพกลุ่มนักร้องที่ออกมาร้องเพลงใต้แสงไฟ ตามถนนที่ปกคลุมด้วยหิมะ เพลงคริสต์มาสเหล่านี้ส่วนใหญเกิดขึ้นในยุคของพระราชินีวิคทรอเรีย (ค.ศ.1840-1900) และภาพนั้นมาจากนวนิยายชั้นยอดของชาลส์ ดิคเก้น แทนที่จะเป็นประเพณีในสมัยกลาง (ค.ศ.1500-1600) แท้จริงแต่ละเพลงนั้นแต่งขึ้นหลายร้อยปีมาแล้ว คำว่า แครอล เป็นเพลงรำวงมากกว่าเป็นเพลงสรรเสริญพระเจ้าตามคริสตจักร แล้วมันเข้ามาเกี่ยวข้องกับคริสต์มาสได้อย่างไรเล่า

ปกติเรามักจะโลดเต้นเมื่อมีการเฉลิมฉลอง ดังนั้นนอกจากจะมีเพลงคริสต์มาสที่เคร่งครึมลึกซึ้งแล้ว จำเป็นต้องมีเพลงในจังหวะสนุกสนานเหมาะกับเทศกาลเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซูเพิ่มขึ้นๆ

บทเพลงยามราตรีศรีหรรษา อันมีชื่อเสียงก็เป็นเพลงง่าย ๆ ที่ไพเราะซึ้งใจ ซึ่งแต่งขึ้นภายในค่ำคืนหนึ่งและมีประวัติความเป็นมาว่า ในคืนก่อนจะถึงวันคริสต์มาสปี ค.ศ.1818 คริสตจักรชนบทชื่อ เซนต์นิโคลัสในเมืองโอเบ็นดอร์ฟพบว่าเครื่องเล่นออร์แกนเกิดขัดข้อง เนื่องจากเจ้าหนูผู้หิวโหยไปแทะกินจนทะลุถึงตัวเครื่อง โยเซฟ โมร ศิษยาภิบาลประจำคริสตจักรรู้สึกร้อนใจกับเหตุการณ์นี้มาก จึงไปหาผู้เล่นออร์แกน ขอให้เขาแต่งทำนองเพลงใหม่ที่สามารถเล่นกับกีตาร์ได้ ผลปรากฎว่าการแสดงผ่านไปด้วยความสำเร็จอย่างเยี่ยมยอด เพลงนี้จึงแพร่ออกไปตามคริสตจักรในเยอรมันอย่างรวดเร็ว นับแต่ปลายยุคกลางจนถึงประมาณ 200 ปีที่ผ่านมา เพลงคริสต์มาสเกือบถูกลืมแต่ในศตวรรษที่ 19 คริสเตียนเริ่มสนใจธรรมเนียมเก่า ๆ อีกครั้ง

นอกจากนั้นยังมีผู้ที่สนใจและกระตือรือร้นในเรื่องเพลง ถึงขนาดแปลเนื้อเพลงที่เป็นภาษาลาตินออกเป็นภาษาท้องถิ่น การร้องเพลงสรรเสริญจึงเป็นส่วนประกอบสำคัญในการนมัสการที่คริสตจักร มีการรื้อฟื้นเพลงคริสต์มาสเก่า ๆ มาร้องกันใหม่ และมีผู้แต่งเพลงใหม่ ๆ ขึ้นมามากมาย ทั้งยังนำเสียงเพลงจากแหล่งต่าง ๆ มาปรับปรุง เพื่อการนมัสการ

เมนเดลโซน นักดนตรีผู้มีชื่อเสียง เคยปรากฎว่ามีผู้นำทำนองเพลงที่เขาแต่งขึ้น เพื่อใช้เฉลิมฉลองกำเนิดการพิมพ์ครบรอบ 400 ปีไปใช้ในเพลง จงฟังเพลงแห่งฑูตสวรรค์ ซึ่งท่านมีความเห็นว่าจังหวะมันขึงขังและเร่าร้อนเกินกว่าจะนำไปใช้เป็นเพลงคริสต์มาส


อย่างไรก็ตาม ไม่มีอะไรจะมากระตุ้นความทรงจำของเด็ก ๆ ดีไปกว่าเสียงเพลงคริสต์มาสที่เป็นเพลงฮิตและเต็มไปด้วยชีวิตชีวา อันเป็นความอบอุ่นที่หลั่งไหลมาสู่เรา สำหรับเนื้อเพลงนั้นสามารถทำให้เราหวนคิดถึงความหลัง มากกว่าของขวัญ…เสียงหัวเราะ…และความสนุกสนาน เพราะเตือนเราให้ระลึกถึงพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์แท้จริง

Chirstmas special - Caroling

การร้องเพลงคารอลิ่ง

ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นของคืนวันที่ 24 ธันวาคมของทุกปี ขณะที่ชาวบ้านกำลังนอนหลับสบาย เสียงเพลงคริสตมาสจากคณะนักร้องจะดังขึ้นตามถนนหนทาง ตามหน้าบ้าน เพื่อร้องเพลงอวยพร เช่นเดียวกับเสียงของฑูตสวรรค์ที่ปรากฎแก่ผู้เลี้ยงแกะ โยเซฟ และมาเรียในคืนที่พระเยซูประสุติในโรงวัวบ้านเบธเลเฮ็ม

บ้านของคริสเตียนจะเปิดออกต้อนรับคณะนักร้องเหลานี้มารับประทานผลไม้ ขนม และร้องเพลงสนุกสนานกันต่อไป เป็นความปิติยินดีของคณะนักร้องและความสุขของเจ้าของบ้าน ประเพณีกระทำกันในหมู่คริสเตียนไทยมาเป็นเวลานานแล้วที่เรียกว่า “ซาราเน็ด” หรือ “คารอลิ่ง” ในสมัยก่อนเรายังไม่มียวดยานพาหนะที่ส่งเสียงดัง เช่น รถยนต์ รถจักรยานยนตร์ การร้องเพลงซาราเนดก็ทำได้ในบรรยากาศของความเงียบ และทุกคนก็ตั้งใจร้อง เพื่อระลึกถึงวันประสูติของพระเยซูในท่ามกลางความเงียบสงัดของบ้านเบธเลเฮมอย่างแท้จริง

แต่ในสมัยนี้เราหาความเงียบเช่นนั้นอีกไม่ได้แล้ว แม้แต่คณะนักร้องที่มาเยือนบ้านของเราก็ไม่อาจจะเงียบได้เช่นกัน การร้องเพลงคารอลิ่งจึงเกือบจะเป็นประเพณีที่ให้ความสนุกสนานแต่เพียงอย่างเดียว

สิ่งที่น่าเป็นห่วงเกรงว่าจะสูญไป คือความหมายของการร้องเพลงซาราเนด บ่อยครั้งที่คณะนักร้องมุ่งไปเฉพาะบ้านที่ตนแน่ใจว่าจะเปิดรับพร้อมกับมีขนมเลี้ยง แต่บ้านของคนยากจนเรามักจะลืมเสีย ถ้าหากจะทำให้ถูกต้อง ต้องตามฑูตสวรรค์กระทำในคืนประสูติพระเยซู

อย่างไรก็ดีคำว่า “ซาราเนด” นี้ใช้เฉพาะในหมู่คริสเตียนไทยเท่านั้น ในต่างประเทศส่วนใหญ่ใช้คำว่า “คารอลิ่ง” การร้องเพลงทั้งสองอย่างมีลักษณะคล้ายกัน แต่ต่างกันตรงจุดประสงค์ในตอนแรก คำว่า “ซาราเนด” หมายถึงเพลงที่พวกหนุ่ม ๆ ยุโรปสมัยกลางออกไปร้องเพลงที่มุมบ้านหรือริมหน้าต่างห้องนอนสาวคนรัก ในคืนอันแสนจะโรแมนติก หญิงสาวก็จะเปิดหน้าต่างออกมา ถ้าเป็นหนุ่มที่ตนรักก็จะโยนช่อดอกไม้ลงมา ถ้าเป็นหนุ่มที่ตนไม่ชอบหน้า เธอก็จะโยนกระถางดอกไม้ลงมา หนุ่มบางคนร้องเพลงไม่ค่อยเป็น เขาก็จะจ้างนักร้องเสียงดี ๆ มาร้องอยู่ตรงมุมตึก หรือในร่มเงาต้นไม้ แล้วตัวเขาจะไปยืนออกท่าทางอย่างสง่าอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์

ส่วนคำว่า “คารอลิ่ง” เป็นการร้องเพลงคริสตมาส ซึ่งอาจเริ่มจากการนมัสการ คำว่า “คารอลิ่ง” มาจากภาษาลาตินว่า “คาโรล่า” ซึ่งมีความหมายว่า “รำวง” ในสมัยโบราณเขาคงจะร้องเพลงเหล่านี้พร้อมกับกระโดดโลดเต้นไปรอบ ๆ เป็นวงกลมนั่นเอง การร้องเพลงคารอลิ่งนี้จึงมีมาแต่สมัยกลางของยุโรปเป็นต้นมา

Chirstmas special - เรื่องควรรู้เกี่ยวกับคริสต์มาส

ทองคำ มดยอบ กำยาน ที่นักปราชญ์นำมามอบให้กับพระกุมารเยซู

1.ทองคำ
GOLD เป็นสิ่งที่มีค่าที่มักจะถวายกษัตริย์เป็นบรรณาการ เช่น ประมุขชาวมุสลิมจะได้รับทองคำที่มีน้ำหนักเท่ากับคนทุก ๆ ปี การที่โหราจารย์ถวายทองคำแก่พระกุมาร แสดงถึงพระลักษณะการเป็นกษัตริย์ของพระองค์ ที่จะเป็นกษัตริย์ครอบครองเหนือจิตใจและชีวิตของประชากร ให้เราภาคภูมิใจในการเป็นชนชาติพิเศษ เป็นปุโรหิตหลวงของพระเจ้า เนื่องจากมีพระคริสต์เป็นกษัตริย์อันทรงธรรมท่ามกลางเทศกาลคริสต์มาสนี้

2.มดยอบ
MYRRN มักจะใช้ชะโลมศพคนในแถบตะวันออกกลาง เป็นสัญญลักษณ์ของความตาย เนื่องจากพระคริสต์เสด็จมาในโลกก็เพื่อสละชีพของพระองค์ เพื่อเป็นค่าไถ่แก่ชนทั้งปวง และเมื่อเรารู้เช่นนี้ เราก็ควรสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้องของเรา ดังที่พระองค์ทรงสละชีวิตเพื่อเราผู้เป็นคนบาป

3.กำยาน
FRANKINCENSE
ใช้เป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าในพระวิหารและในแถบตะวันออกกลาง มักใช้กำยานถวายแด่พระเจ้าในวิหารสถาน การที่โหราจารย์ถวายกำยานแด่พระคริสต์เป็นการสำแดงสัญลักษณ์พระคริสต์เป็นสื่อกลาง เป็นกำยานของพระบิดาเมื่อเป็นเช่นนี้ให้เรามีใจกล้าเข้าเฝ้าพระองค์ ร้องทูลความปราถนาขอความเมตตารับพระคุณจากพระองค์ได้ทุกเวลาในขณะที่ต้องการ

การฟังเสียงพระเจ้า ตอน 6

พระเจ้าตรัสผ่านนิมิตร ความฝัน

ทางนิมิตรเกิดขึ้นยามตื่นและรู้สึกตัว เช่น ภาพขณะหลับตา หรือเปิดตา หรือขณะนอนหลับ ที่เตือนเรา ด้วยเหตุนี้เมื่อท่านอธิษฐาน ควรมีเวลาทีนิ่ง สงบ รอฟังเสียงของพระเจ้า และรับการสำแดงจากพระองค์ ส่วนรายละเอียดขอให้ไปอ่า เรื่องนี้ที่เว็บ http://www.james7.org/ ในหัวข้อการฟังเสียงพระเจ้า เพราะเจ้าหน้าที่ได้นำคำสอนของผมไปลงด้วยเช่นกัน

ส่วนการฟังเสียงพระเจ้าผ่านทางความฝัน คือ เมื่อเรานอนหลับ พระเจ้าตรัสกับเราขณะนอนหลับ เมื่อนั้นท่านจะไม่รู้สึกตัวแต่จิตใต้สำนึกของท่านทำงาน เพราะเป็นไปได้ ขณะจิตสำนึกท่านทำงาน ยามตื่นท่านอาจยุ่ง คิดมาก ไม่มีเวลาฟังเสียง หรือวุ่นวายมากมาย พระเจ้าจึงต้องรอท่านหลับสนิทก่อนครับ แล้วมาคุยมาสอนท่าน แต่เราต้องเข้าใจก่อนว่าไม่ใช่ทุกฝันมาจากพระเจ้า เป็นไปได้ที่ทุกคนฝันทุกคน แต่บางฝันมาจากพระเจ้า ขอให้สังเกตุและบันทึก ค่อยเรียน ต่อไป เพราะบางคนฝันเฟื่องเพราะแรงปราถนา ก็ไม่ใช่แล้วครับ

ในพระคัมภีร์พระเจ้าตรัสผ่านความฝันบ่อยมาก เช่น ตรัสกับฟาโร์ห์ โยเซฟ ดาเนียล เราก็ควรสังเกตดู หากฝันนั้นไม่ดี ก็อธิษฐานปกป้อง ตัดความสัมพันธ์ ประกาศยกเลิก ว่าเราต่างกับความเชื่ออื่น เพราะพวกเรารับความฝันเพื่อแก้ไขครับ หากเป็นบวกก็เก็บไว้ในใจ และขอพระเจ้าทรงนำต่อไป

การฟังเสียงพระเจ้า ตอน 5

บทเรียนจากชีวิตประจำวัน

ทุกวันการดำเนินชีวิตที่ปกติพระเจ้าทรงสอนเราจากสิ่งที่ทำด้วยเช่นกัน ผมไปออกกำลังกายประจำครับ สิ่งหนึ่งที่พระเจ้าสอนผมจากการออกกำลังกายคือ ความเจ็บปวดของร่างกาย มันยิ่งทำให้เราแข็งแรง ทำไมล่ะ เพราะวันแรกที่ผมเริ่มออกกำลังกาย มันปวดตามร่างกาย เพราะรู้สึกมันถูกยืดตัว หลังจากที่อยู่อย่างสบายเหมือนเดิมมาตลอด จนผมมาออกกำลังกายสม่ำเสมอ เทรนเนอร์ก็เพิ่มน้ำหนักของเครื่องเล่นออกกำลังกาย ให้มีน้ำหนัก ๆ ขึ้นตามลำดับ ร่างกายก็เริ่มเจ็บปวด เมื่อหลังจากฝึกเสร็จ ผมกลับบ้าน พร้อมความเจ็บปวดใหม่อีกแล้ว แต่ไม่มากเท่าครั้งแรกที่เล่น

แต่ผมรู้อย่างหนึ่งว่าเดี๋ยวนี้ร่างกายผมแข็งแรง และ มีกล้ามเนื้อใหม่เกิดขึ้น อีกทั้งผมนอนหลับสบาย ผมเพิ่งมาสังเกตว่าเดี๋ยวนี้ผมสามารถยกน้ำหนักได้ ในเครื่องที่เคยยกไม่ได้ในอดีต ก็ยังงงว่าผมทำได้อย่างไร อีกทั้งทำให้ผมอดทนขึ้น มันก็เหมือนชีวิตของเรา ที่ต้องปล้ำสู้ หรืออดทนต่อปัญหาบางอย่าง เมื่อเราต่อสู้อดทน ฝืนมันได้ต่อไป เราก็จะสู้อดทนเรื่องที่หนักกว่าได้ และไม่เจ็บปวดเท่าครั้งแรก ๆ ดังนั้น การออกกำลังกายเป็นประจำ การมีวินัยฝ่ายวิญญาณก็จะทำให้ท่านเจริญเติบโตขึ้นได้เช่นกัน

การฟังเสียงพระเจ้า ตอน 4

การฟังเสียงพระเจ้า ตอนสถานการณ์ที่เตือนซ้ำ ๆ จากหลายเหตุการณ์

พระเจ้าสามารถใช้สถานการณ์มากมายในการตักเตือนและพูดกับเรา เราต้องเชื่ออย่างหนึ่งว่าพระองค์ ทรงอัศจรรย์และรักเรา ครั้งหนึ่งในพระคัมภีร์เดิมมีผู้นำท่านหนึ่ง ชื่อ บาลาอัม พระเจ้าตรัสจากเสียงพระองค์ หลายครั้ง ห้ามไม่ให้ท่านสาปแช่งชนชาติอิสราเอล แต่ท่านยังดื้อ สุดท้ายพระเจ้าทรงเปิดปากลา ให้พูดภาษามนุษย์ได้ เพื่อไม่ให้ผู้นำท่านเดินทางไปทำผิดอีก นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้อเชื่อว่าพระเจ้าทรงใช้ทุกสถานการณ์ในการตรัสพูดกับเราได้ การให้คำปรึกษาจากพี่เลี้ยง ผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ ผ่านคำเทศนา การเรียน ถ้อยคำจากรอบข้าง แม้กระทั่งคำเผยวจนะจากผู้ที่มีความชำนาญ

การตรัสอีกทางจากเสียงของพระเจ้า คือ เสียงของคนรอบข้าง จากถ้อยคำของพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน ลูก ที่เราอาจคิดไม่ถึง หรือเราอาจพบคำพูด หรือเหตุการณ์ซ้ำ ๆ

การฟังเสียงพระเจ้า ตอน 3

พระเจ้าจะตรัสกับท่านได้ผ่านทางพระคัมภีร์

ทุกวันที่ท่านอ่านพระคัมภีร์ ให้สังเกตุถ้อยคำที่ประทับใจ หรือทิ่มแทงในใจ หรือรบกวนในสมองหรือ วกวน ชวนคิด หรือรบกวนเราทั้งวัน เมื่อเราออกจากการอ่านพระคัมภีร์เรายังได้พบแต่ประโยคนั้น หรือเจอคำพูดในทำนองนั้นแล้ว เราก็เจอคำพูดที่เหมือนกันด้วยผ่านหนังสือพิมพ์ สติ๊กเกอร์หลังรถ หรือคำพูดซ้ำในทำนองนั้น หลุดออกจากปากญาติ เพื่อนที่ทำงานของเรา นั่นแหละวันนั้น พระองค์ตรัสกับท่านผ่านสถานการณ์ทั้งวันเลย

ด้วยเหตุนี้เอง ผมอยากให้ท่านอ่านพระคัมภีร์เป็นระบบและบันทึก เริ่มจากเล่มที่ท่านอยากอ่านก่อนนะครับ จะได้สนุกและตื่นเต้น อย่าอ่านแบบสะเปะสะปะ วันนั้นนิดหนึ่ง วันนี้นิดหนึ่ง ไม่ต่อเนื่อง ไม่เป็นเรื่องเดียวกัน เรื่องนี้ให้ถามผู้นำคริสตจักรของท่านครั

การฟังเสียงพระเจ้า ตอน 2

คริสเตียนควรฝึกฟังเสียงพระเจ้า

เราต้องเข้าใจก่อนว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้า พระองค์เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงใช้ ตา หู จมูก ปาก ความคิด ความรู้สึก ในการสื่อสารกับเรา เพื่อคุยกับเรา และใช้อวัยวะทั้งหมดติดต่อให้เราเข้าใจพระองค์ ผมจะยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ท่านมีปัญหาแล้วมีใจอยากอธิษฐาน นั่นแหละเป็นสิ่งที่พระเจ้าใส่ในใจท่านให้ติดต่อกับพระองค์ หรือท่านเห็นสิ่งผิดกฏหมายในมือท่าน พระเจ้าก็จะใส่ความรู้สึกผิดให้แก่ท่าน เป็นการบอกว่าสิ่งนั้นไม่ดี หรือเสียงที่ยิงเข้ามาในสมอง ความคิดในใจ หรือหลับตาแล้วเห็นภาพบาง อย่าง เหล่านี้คล้ายกับการรับการสื่อสารจากพระเจ้า ซึ่งผมได้เขียนไว้ในบทความเรื่องการเผยวจนะในเรื่อง คนห้ากลุ่มในการเผยวจนะ เพราะเป็นเรื่องคล้ายกันกับฟังเสียง คือ การรับ (ทางร่างกาย) ที่พระเจ้าจะสื่อสารด้วย ขอให้ท่านเข้าไปที่เว็บ http://www.james7.org/ เพื่อวันนี้ผมจะได้พูดในส่วนอื่น ๆ ขอให้ท่านได้ฝึกครับ

สรุปได้ว่า พระเจ้าใช้ทุกอย่างในร่างกายสื่อสารกับเรา เช่น ความรู้สึก ภาระในใจ จิตใต้สำนึก ความเข้าใจ ในความคิด หรือสติปัญญาที่มาจากพระองค์ คือ การมองเห็นผ่านความคิด

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เว็บ RMT ปิดปรับปรุง

แจ้งข่าวผู้ิิติดตามเว็บ http://rmt.group.in.th/home/


เว็บ http://rmt.group.in.th/home/ ปิดปรับปรุงชั่วคราว

ผู้ต้องการเข้าใจด้านการฟังสียงพระเจ้า

ขอเชิญที่เว็บ http://www.james7.org/

ในหัวข้อการเผยวจนะ และคน 5 กลุ่ม

ในการเผยวจนะ (คือการรับเสียงจากพระเจ้า)

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

การฟังเสียงพระเจ้า ตอน 1

การฟังเสียงพระเจ้า ตอนฟังเสียงพระเจ้า ท่านจะไม่เดินผิดเส้นทาง

ก่อนอื่นอยากจะประชาสัมพันธ์เรื่องที่บางท่านอาจยังไม่รู้ คือ เมื่อท่านเข้ามาที่บล็อกผม ท่านจะเห็นมุมหนึ่งมีคำว่า ผู้ติดตาม สิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อท่านครับ เพราะหากท่านใช้ Gmail ,Yahoo ท่านสมัครเป็นผู้ติดตาม เมื่อมีการเพิ่มข้อมูลใหม่ทุกครั้ง บทความจะส่งไปยังอีเมล์ของท่านทันที โดยไม่ต้องเข้ามาเช็คว่าจะมีบทความใหม่หรือยัง และผมจะเพิ่มข้อมูลทุก ๆ สัปดาห์แน่นอน ส่วนหน้าตาของบล็อคและเกมส์ หรือลูกเล่นต่าง ๆ นั้นต้องขอบคุณคุณจูน เจ้าหน้าที่ที่ช่วยทำให้มีสีสรรมาโดยตลอด เราจะมาคุยเรื่องการฟังเสียงพระเจ้ากัน เลยขอหยุดเรื่องบำบัดเยียวยาก่อนนะครับ

ผมใช้คำว่าฟังเสียงพระเจ้าท่านจะไม่เดินผิดเส้นทาง เพราะมีบางเรื่องที่พระเจ้าอยากทำแต่ เราไม่อยากทำ เช่น เปาโลอยากประกาศกับคนยิว ตายเพื่อยิว เเต่พระเจ้าใช้ท่านไปประกาศกับคนต่างชาติ จึงให้ชาวมาซิโดเนียมาเข้าฝัน เปาโลให้ท่านไปประกาศกับชาวมาซิโดเนีย (ต่างชาติ) แต่เปรโตรอยากประกาศกับต่างชาติ แต่พระเจ้ากลับให้ท่านไปประกาศกับคนยิว นั่นแหละคือ ที่มาของการฟังเสียง และการเชื่อฟังเสียงของพระเจ้า เพื่อเราจะได้ไม่เสียเวลากับเรื่องบางเรื่องที่ดูเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ทำให้เราเสียเวลาทั้งชีวิต เราอาจคิดว่าเราไม่ได้ทำเรื่องที่ผิด แต่เราก็ไม่ได้ทำสิ่งที่ถูก ในสิ่งที่พระเจ้าต้องการกำหนดให้เราทำ

เหมือนจอห์น แม็คเว็ลเคยยกตัวอย่างนักปีนเขา บางคนว่าเขาได้ไปถึงยอดเขาและปักธงเพื่อแสดงชัยชนะที่มาถึงยอดเขาสำเร็จ แต่ปรากฏว่าเป็นภูเขาของคนอื่น ไม่ใช่ลูกที่ตัวเองต้องปีนครับ คงต้องกลับลงมาใหม่และเริ่มต้นใหม่หมดทั้งช้า เสียเวลาเสียกำลัง

วันพฤหัสบดีที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เมื่อรับการเยียวยา ชีวิตก็ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้-ตอน 3 ห้าเรื่องที่เราไม่สามารถหนีได้ หนึ่ง “หัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงาน”

เมื่อรับการเยียวยา ชีวิตก็ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้
ตอน 3 ห้าเรื่องที่เราไม่สามารถหนีได้ หนึ่ง “หัวหน้างาน และเพื่อนร่วมงาน”

มีคนกล่าวว่ามีห้าเรื่องเป็นเรื่องที่เกินความคาดหมาย เราไม่สามารถกำหนดล่วงหน้า มีแต่แก้ไขไป และการปกป้องตัวเองวันต่อวัน เรื่องแรกคือเมื่อเข้าทำงานเจอเจ้านายไม่ดี หรือเพื่อนร่วมงานไม่ดี เกเร เจ้ายศเจ้าอย่าง บ้าอำนาจ หรือนิสัยบางอย่างที่มีผลต่ออารมณ์ ความคิด หรือนิสัยบางอย่างเร้าอารมณ์ของเราให้อารมณ์ไม่ดี หรือ สร้างความบาดเจ็บในใจ

แต่ทำนองเดียวกันเราก็จะพบนิสัยดี ๆ ในคนเหล่านี้ด้วย หากเรารู้วิธีคิด รู้วิธีจัดการกับสิ่งที่ไม่น่าชื่นชมที่เราพบ เราก็สามารถอยู่ร่วมกับคนเหล่านี้ได้ เหตุนี้เองวินัยในความคิดจึงสำคัญแก่เรา เพราะชีวิตเริ่มที่ความคิด (ใจ) ที่ทำงานเชื่อมโยงพร้อม ๆ กัน ประสานกัน จะให้ข้อคิดบางมุม เช่น เราต้องแยกระหว่างสไตล์การทำงาน บุคลิกของเขา และจริยธรรม หากเป็นสองเรื่องแรกควรปล่อยวาง คือ สไตล์การทำงานกับบุคลิก แต่หากเป็นเรื่อง จริยธรรมเราควรเดือดร้อนใจที่ได้ทำงานร่วมกับเขาคนนี้ แต่ว่าส่วนใหญ่เนื่องจากบาดแผลที่คนเคยทำกับเรา หรือ ความไม่โตเป็นผู้ใหญ่เรากลับรำคาญหัวเสียกับสไตล์การทำงานและบุคลิกของเขาที่เป็นหัวหน้างาน หรือลูกน้อง เลยทำให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้นี่เอง เราต้องจัดการบาดแผลที่อยู่ในใจของเรา ในอารมณ์ของเรา ไม่ใช่ไปจัดการคนที่เข้ามีสไตล์และบุคลิกแบบนั้น เพราะมันไม่ใช่ความผิดด้านจริยธรรม และเราแต่ละคนก็มีสไตล์ บุคลิกไม่เหมือนกันตามที่พระเจ้าทรงสร้างไว้

เมื่อรับการเยียวยาชีวิตก็ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้-ตอน 2 เราหนีคนในโลกนี้ไม่ได้

เมื่อรับการเยียวยาชีวิตก็ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้
ตอน 2 เราหนีคนในโลกนี้ไม่ได้


ในแง่มุมของผม ผู้ทำงานด้านนี้ใจอยากช่วยคนทั้งโลก แต่จริง ๆ ก็ช่วยได้จำกัด เพราะผู้เขียนเองก็มีเรื่องที่ต้องต่อสู้และปล้ำสู้เอาชนะกิเลส ตัณหา อุปสรรค ผู้เขียนเองก็เจอกับคนที่ถูกเอาเปรียบ เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ คนไม่เป็นผู้ใหญ่ คนที่ใช้คำพูดและการกระทำบางอย่างที่กระทบกระทั่งก็มาก แต่เพราะการรู้จักปกป้องตัวเอง และมีคนที่ดี ๆ เป็นเพื่อนแท้มายาวนาน ที่คอยให้กำลังใจจึงสามารถอยู่ต่อไปได้ โดยสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบน้อยและจะน้อยลงไปอีก เพราะเราจะทำลายตัวเร้า (บาดแผล) และสร้างระบบความคิด (วินัยใหม่) การป้องกันตัวเอง จากพระคัมภีร์ไบเบิ้ล เพื่อเราจะสามารถอยู่กับคนที่ไม่น่ารักได้ และพวกเขาจะทำให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่ด้วยครับ

กระบวนการรักษาด้วยการบำบัดเยียวยา มีไว้แก้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่ต้องตายจะไม่ตาย คนที่ป่วยจะหายป่วยทันที คนมีบาดแผลก็จะหายทันทีในครั้งเดียวที่ทำ หรือหากมีการทำพันธกิจนี้แล้ว คนที่เรารักหรือคนรอบข้างของเราจะไม่ป่วยหรือพบอุปสรรคใด ๆ อีกเลย เมื่อรับทำพันธกิจนี้แล้วทุกอย่างจะเป็นตามใจสั่งหรือครับ

สิ่งที่ต้องเผชิญเราก็ต้องเจอต่อไป แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหัวใจ ความคิด ท่าทีต่อปัญหา อุปสรรคของเราเปลี่ยนไปแล้ว เพราะการเยียวยามักคู่กันไปกับการมีวินัยในการคิดใหม่ เพราะสิ่งที่เปลี่ยนคือความเข้าใจใหม่ และ วิธีการใหม่ต่อการรับมือกับปัญหาที่เกิดขึ้นต่างหาก

เมื่อรับการเยียวยาชีวิตก็ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้-ตอน 1 ความจริงคือความจริง

เมื่อรับการเยียวยาชีวิตก็ต้องเผชิญสิ่งเหล่านี้
ตอน 1 ความจริงคือความจริง


การบำบัดเยียวยาจากบาดแผล คือ การท้าทายให้ผู้มีชีวิตอยู่ยอมรับว่าตนเองมีบาดแผลที่น่ารำคาญ และฮึดจะต่อสู้กับมัน เพื่อไม่ให้นิสัยที่ไม่ดีรบกวน น่ารำคาญ ส่งผลต่อบุคลิก และความคิดที่ผิดหรือบางคนอาจใช้คำว่านิสัยที่ไม่เป็นผู้ใหญ่ของเรา ไปรบกวนผู้อื่นและสร้างปัญหาแก่คนรอบข้าง ทำให้เราต้องสูญเสียบุคลิกภาพและ มิตรภาพกับคนดี ๆ ที่เข้ามาในชีวิตหรือการงานที่ดี โดยเฉพาะนิสัยที่มีความคิดที่แคบ เห็นแก่ตัว ขี้กลัว คิดไปเอง พูดหรือคิดเกินความจริง หรือหนักถึงขั้นไม่สามารถยอมรับชีวิตที่ควรจะเป็นจริงได้ ทั้งที่รับคำสอน อบรมสัมมนามามาก ดังคำที่เรามักได้ยินว่า “เรียนไปก็เท่านั้นไม่เห็นชีวิตเปลี่ยนเลย”

ทำไมละ ก็เพราะอุปสรรค ค่านิยมทางความคิด ความหนาแน่นของความผิดปกติของจิตใจ หรือที่กลุ่มทำพันธกิจนี้เรียกว่าบาดแผลครับ อีกทางหนึ่งคือ คน ๆ นั้น คิดแต่ในมุมของตัวเอง ไม่ได้คิดถึงความเป็นจริง มีชีวิตในจินตนาการ เพราะไม่อยากยอมรับความจริงและความเจ็บปวดต่าง ๆ ได้

คนที่รับการเยียวยาแบบนี้จะต้องตัดสินใจเลือกชีวิตใหม่ เขาต้องตั้งใจที่จะปล้ำสู้ อดทน เพียรพยายามที่จะเลือกต่อสู้วันต่อวัน เพื่อเสรีภาพที่ดีกว่า เพื่อจะทำให้เขา มีชัยชนะในการดำเนินชีวิตท่ามกลางคนรอบข้างได้แม้มีปัญหาและอุปสรรค เมื่อถึงเวลาจำเป็นที่ต้องตายเพราะอายุขัย หรือโรคที่กินร่างกายถึงที่สุดแล้ว ก็ต้องยอมรับตามความจริงได้

แต่เราจะไม่เอาศาสตร์การบำบัดเยียวยามาเป็นเหตุผลในการอธิษฐาน เยียวยาให้คนที่ใกล้จะตายได้มีชีวิตอยู่ทั้งที่ถึงเวลาตายได้แล้ว บางคนไม่เข้าใจมักถามว่าทำไมการเยียวยาไม่ทำให้เขามีชีวิตต่อไป ทำไมพระเจ้าจึงไม่ให้เขามีชีวิตอยู่ (อันนี้เป็นปัญหาของคนพูดเพราะเขามีความเข้าใจผิดมาก ๆ ในเรื่องการเยียวยา จากนั้นก็มาโทษปัจจัยรอบข้าง และขบวนการเยียวยา เพราะเขากำลังจะให้ศาสตร์นี้เป็นเรื่องเกินจะเป็นจริง ทำให้คนไม่ต้องตาย คนป่วยเพราะอายุขัยที่ต้องตายก็จะไม่ป่วย ไม่ตาย หรืออาจรับคำสอนมาว่าเมื่อเป็นคริสเตียนแล้วหรือเมื่อรับการเยียวยาแล้วจะไม่มีอุปสรรคปัญหา)

สิ่งที่ผู้กล่าวพูดเช่นนี้ควรจะหันไปตระหนักและเข้าใจใหม่ว่าการเยียวยาเป็นการปกป้องและป้องกัน อารมณ์ ความรู้สึกของเรามากกว่าเมื่อผู้ป่วยต้องจากไปตามอายุขัย เราควรตระหนักว่าเขาจะทำใจอย่างไร เพื่อไม่ให้ความผูกพันกับผู้ที่จากไปทำให้เขาคิดถึงจนหมดอาลัยตายอยาก หรือเขาจะเยียวยาตนเองอย่างไร เมื่อผู้ที่จากไปอาจเคยทำผิดกับเขา ทำให้เขาโกรธ แล้วเขาจะให้อภัยผู้ที่จากไปอย่างไร หากผู้ที่จากไปทำสิ่งที่ผูกพันที่เขาต้องรับผิดชอบต่อไปครับ

ทำไมคิดเช่นนี้เพราะคนป่วย ให้เขาจากไปตามวาระอายุขัยดีกว่าให้เขาอยู่อย่างทรมาน และช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ต่อไป สรุปคือการบำบัดเยียวยาใช้สำหรับคนมีกำลังมีชีวิต และเลือกจะมีชีวิตที่ดีกว่า หรือคนใกล้จะตาย ทำอย่างไรที่เขาจะไม่ตายขณะมีความโกรธ ขมขื่น อาฆาต เจ็บปวด ขณะกำลังจะตายมากกว่า แต่ไม่ใช่เขาจะไม่ป่วยไม่ตายตามเวลา เพราะเรายังต้องยอมรับความจริงของชีวิตเช่นกัน

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

Happy X'mas

Happy Birth Day Jesus



Little friends singing


White christmas

การอธิษฐาน บำบัด เยียวยา ปลดปล่อย ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ - ตอนที่ 10 รู้จักใช้สิทธิ การระบายความในใจ

การอธิษฐาน เยียวยา ด้วยตัวเองแบบง่าย ๆ
ตอน 10 รู้จักใช้สิทธิ การระบายความในใจ


คนไทยต่างกับชาติตะวันตก เมื่อเกิดการคิดขัดแย้งหรือถูกล้ำเส้น นิสัยคนเอเซียจะเก็บความรู้สึกนั้นไว้ ไม่ยอมพูด หรือเมื่อใจปฎิเสธ ส่วนใหญ่จะเงียบ แต่เราจะขุ่นใจในตัวเอง เช่นเมื่อมีคนล้ำเส้น หรือพูดกับเราผิด ๆ เราก็ไม่พูดไม่บอก ไม่ใช้สิทธิบอกว่าเขาคิดหรือพูดถึงเราผิด เข้าใจเราผิด แต่เรากลับเงียบเก็บความอึดอัดนั้นไว้ และหลายครั้งเราไประบายๆๆๆ กับคนที่รู้สึกสนิทด้วย ด้วยอารมณ์ที่ฉุนเฉียวรุนแรงแบบไม่รู้ตัว แต่ว่ามันผิดคนครับ คน ๆ นั้นอาจเป็นภรรยา ลูก เพื่อน คนรักเรา แต่คนที่ละเมิดเรา ที่ควรรับรู้ เขากลับไม่ได้รับรู้เลย

ทั้งที่จริงควรใช้สิทธิตอนนั้นบอกอีกฝ่ายว่าเราไม่เห็นด้วย หรือผมคิดว่าสิ่งที่คุณทำมันล้ำเส้นนะครับ หรือกล้าพูดว่าคุณพูดรุนแรงเกินไปนะครับ แต่หากเราไม่สามรถทำได้ เราก็ควรหาใครที่สนิทสนมระบายบ้างด้วยความรู้สึกของเราออกมาดีกว่าเหมือนลูกโป่งที่เราถูกลมอัดรอมันแตก เพื่อมันจะไม่ไปเป็นรากขมขื่น ตามมายิ่งแย่กว่าเดิม

หลายครั้ง เราพยายามลืมสิ่งที่เจอ เพราะมีคนแย่งสิทธิของเราหรือปิดกั้นสิทธิของเรา ยามว่างหรือบางเวลาสิ่งที่มักจะแวบเข้ามาในใจของเรา คือ อารมณ์โกรธ จากนั้นที่อารมณ์นี้ก็จะรบกวน ความคิดจิตใจของเรา ผมอยากให้เราเข้าใจพื้นฐานก่อนว่า โกรธ รัก เกลียด กลัว อึดอัด ล้วนเป็นอารมณ์ทั้งสิ้นครับ มันแย่งพื้นที่ความสงบ ความสุข และล้ำเส้นในสิทธิของเรา เราก็จะเริ่มคิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่หนัก ๆ หรือเรื่องเล็กน้อย แต่มันรบกวนมาก ๆ กลายเป็นความแค้น คิดทำอะไรบางอย่างออกมารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวต่อคนใกล้ชิดเรา

บางคนที่ล้ำเส้นในสิทธิของเรา หากเขามีหน้าที่การงาน หรือตำแหน่งที่สูงกว่าเรา ที่เราแตะต้องใช้สิทธิไม่ได้ในการบอก พูด เราก็จะทำร้ายตัวเองโดยไม่รู้ตัว เช่น การนอนไม่หลับ คิดมาก ทานไม่ลง เพราะผะอืดผะอม หรือเราจะเอาอารมณ์นั้นไปลงกับคนที่อ่อนแอกว่าเรา และเขาผู้นั้นก็รับอารมณ์หรือลมในลูกโป่งที่อัดเต็มที่ หรือในความไม่สมบูรณ์ของเรา เราระบายไปอีกทอดหนึ่งสู่ลูกน้องหรือคนที่อ่อนแอกว่า แต่วันนี้ผมอยากให้ท่านหาคนสักคนที่เขาสามารถฟังท่านได้ ระบายความในใจของท่านได้ สักคนสองคน ที่เขาหวังดีและรักท่านจริง ๆ ครับ แต่หากท่านไม่มี ก็โดยพระเจ้าแหละครับ องค์สากลโลกคือ พระเยซูคริสต์ ขอให้ท่านระบายแก่พระองค์ ผู้ทรงมารับความทุกข์ยากลำบากใจของคนทั้งโลก

สำหรับคริสเตียนคงเคยได้อ่านบทเพลงของกษัตริย์ดาวิด พระธรรมสดุดีครับ ท่านได้ถูกไล่ล่า ถูกด่า ถูกลูกทรยศ ทหารเอกทำตามใจเขาเอง ดาวิดผู้เป็นผู้นำ สิ่งที่ท่านต้องทำอย่างแรก คือ ระบายความในใจต่อพระเจ้าส่วนตัว ดีกว่าไปลงอารมณ์กับผู้อื่น พระเจ้าทรงเปี่ยมด้วยความรัก ความเข้าใจ คุณจะพูด บ่น ระบายอะไรก็ได้ เพราะพระองค์ทรงสัพพัญญู รู้ทุกอย่าง สถิตเหนือ กาลเวลาของมนุษย์ สถิตทุกที่ในเวลาเดียวกัน ดังนั้นเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่คุณเผชิญ พระองค์เข้าใจและรอคอยที่คุณจะเข้ามาหาพระองค์ เพื่อร้องขอความช่วยเหลือ ฮบ4: 16 ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลาย จงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะได้รับพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่ต้องการ

กษัตริย์ทรงเป็นผู้หนึ่งที่ถูกใส่ร้ายไล่ล่าและเต็มไปด้วยอันตรายในชีวิต ศัสตรูหมายปองพูดถากถาง ต่อว่าท่าน แต่ท่านบันทึกในพระธรรมสดุดี (สดุดี 42:4-5,8 เมื่อข้าพระองค์ระบายความในใจออกมา ข้าพระองค์ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ คือข้าพระองค์ไปกับประชาชน และนำเขาไปเป็นกระบวนแห่ถึงพระนิเวศของพระเจ้า ด้วยเสียงโห่ร้องยินดีและเสียงเพลงโมทนา คือมวลชนกำลังมีเทศกาลฉลอง จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนเจ้าจึงฝ่ออยู่ ไฉนเจ้าจึงกระสับกระส่ายภายในข้าพเจ้า จงหวังใจในพระเจ้า เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีแด่พระองค์อีก ผู้ทรงเป็นความอุปถัมภ์ และพระเจ้าของข้าพเจ้ากลางวันพระเจ้าทรงบัญชาความรักมั่นคงของพระองค์และกลางคืนเพลงของพระองค์อยู่กับข้าพเจ้า เป็นคำอธิษฐานต่อพระเจ้าแห่งชีวิตของข้าพเจ้า)

การอธิษฐาน บำบัด เยียวยา ปลดปล่อย ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ - ตอนที่ 9 เลือกการกลับใจ

การอธิษฐาน บำบัด เยียวยา ปลดปล่อย ด้วยตัวเองแบบง่ายๆ
ตอน 9 เลือกการกลับใจ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าการบำบัดเยียวยามีหลายสาขาหลายวิธีมาก ผมแนะแนวทางในทางคริสเตียนเพราะ แนวทางคริสเตียนมีความรอดจากบาป เพราะบาดแผล, คำแช่งสาปมาจากผลบาปด้วย และกระบวนการไม่ยาก เพราะมีฤทธิอำนาจและความรักจากพระเจ้าเข้ามาช่วย เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากการเลี้ยงดู ขาดความอบอุ่น ขาดความรัก ส่งผลให้ระบบความคิด การตั้งโปรแกรมในใจตั้งแต่วัยเด็กหรือขณะเป็นผู้ไหญ่เกิดขึ้น เพราะการพัฒนาเกราะป้องกันการบาดเจ็บจนกลายเป็นนิสัยที่ไม่ดีส่งผลเสียก็มี

เรืองที่ต้องทำก่อน คือการตั้งใจอยากจะหายหรือการกลับใจใหม่จากอาการเหล่านี้ และอยากมีชีวิตที่มีเสรีภาพอิสระจากบาดแผลที่ผูกมัดตลอดและติดตามเรามาตั้งแต่เด็ก บางเรื่องครอบงำในจิตใจ หรือ คำแช่งสาปที่เกิดจากเราได้ทำไว้โดยไม่ได้จัดการกับมัน ทำให้พระพรหรือมรดกฝ่ายวิญญาณไม่ไหลมาเต็ม (คนไม่เป็นคริสเตียนอาจใช้คำว่ากรรมเวร หรือกรรมเก่าที่ได้ทำไว้ชาติปางก่อน หรือชาตินี้ตอนมีชีวิตอยู่) นี่แหละเป็นจุดเริ่มต้นสำคัญ คือ กลับใจครั้งแล้วครั้งเล่า อย่าท้อที่จะเลือกวิถีชีวิตใหม่


ทำไมเราต้องเกลียดชังมัน เพราะมันทำให้เราไม่สามารถปลดปล่อยศักยภาพ หรือมีเสรีภาพ สันติสุข หรือสร้างบุคลิคที่ดีให้แก่เราในการทำงานและดำเนินร่วมกับผู้อื่น

การกลับใจใหม่เป็นพระสัญญาของพระคัมภีร์ไบเบิล และจะมีพระพรตามมา คือ เราจะได้รับการพักผ่อน การฟื้นใจ เรี่ยวแรงใหม่ กำลังใจใหม่ในการต่อสูต่อไปครับ (กจ) และพระเจ้าจะทรงโปรดยกโทษอภัยให้แก่เรา เพราะเราเลือกชีวิตที่ดีกว่า ดังนั้นอย่าจมปลักกับขี้โคลนในอดีต จงสลัดมันออกและลุกขึ้นมา ชำระล้างใจใหม่ เริ่มอนาคตที่อยู่ในมือเราวันนี้ดีกว่าครับ

กจ3: 19 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงหันกลับและตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะทรงลบล้างความผิดบาปของท่านเสีย เพื่อวาระพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระพักตร์พระเจ้า