วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ สอง หาคนที่ รู้ใจเราดี

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ สอง หาคนที่รู้ใจเราดี

ชีวิตของมนุษย์ ประกอบไปด้วย สามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือ ร่างกาย ส่วนที่สองคือ จิตใจ และส่วนที่สามคือจิตวิญญาณ

ลองคิดดูสิครับว่าหากเรามีร่างกาย แต่ไม่มีวิญญาณเราก็คือคนตาย แต่หากเรามีวิญญาณแต่ไม่มีร่างกาย เราก็คือวิญญาณ แต่หากเรามีวิญญาณ ร่างกาย แต่ไม่มีจิตใจ ชีวิตของเราจะกลายเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก อารมณ์เห็นอกเห็นใจ หรือรับรู้การสัมผัสของร่างกาย เราจะเป็นคนที่แห้งแล้งมากเลยทีเดียว
หลายคนไม่เข้าใจว่าจิตใจมีผลต่อชีวิตมาก เหมือนคำที่กล่าวว่าจิตใจที่ดีเหมือนยาวิเศษ คนป่วย คนท้อใจอยู่ในอาการเจ็บป่วยยาวนาน หากรับกำลังใจที่ดี ได้รับคำพูดหรือข่าวเรื่องราวที่เสริมสร้าง จิตใจก็จะหึกเหิม จะช่วย ให้เขากล้าที่จะลุกขึ้นมา และกล้าที่จะบุกน้ำลุยไฟอย่างไหนก็ได้

เพราะเขารู้ว่าหากทำผิดพลาด หรือสำเร็จก็จะมีคนๆ หนึ่ง คอยให้กำลังใจและปลอบใจให้แก่เขา และตอนนี้เราจะมาคุยกันว่า จะให้อาหารด้านจิตใจได้อย่างไร

เรื่องแรกคือคน คนที่ผมได้กล่าวไปบ้างแล้ว คือคนๆ นี้ เขาที่จะรู้สึกดีต่อท่าน คนที่คอยให้กำลังใจแก่ท่าน แม้ท่านล้มลง พ่ายแพ้ ท่านจะมีคนๆนี้ คอยให้กำลังใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่กับม่านตลอดเวลา หรืออยู่ด้วยกัน เขาอาจอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ท่านสามารถเขียนอีเมล์ โทรศัพท์ หรือไปหา เขาจะต้อนรับท่านเสมอ

วันนี้ท่านสร้างสัมพันธ์ และมีคนๆนี้แล้วหรือยัง เพราะหากท่านยังไม่มีก็จงเริ่มสร้างสัมพันธ์กับ ใครบางคน เสียตั้งแต่วันนี้ครับ แล้ววันหนึ่งท่านจะไม่ผิดหวังเลย ในยามที่ท่านต้องการใครสักคนหนึ่ง

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่1 การตั้งเป้าหมาย

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่1 การตั้งเป้าหมาย

ทุกวันนี้พวกเราทุกคนคงหนีไม่พ้นปัญหา อุปสรรคที่มีผลต่อจิตใจของเรา มันส่งผลให้อารมณ์ของเราดีและไม่ดี และส่งผลต่อคนรอบข้าง ที่จะโดนกระทบต่อสิ่งที่เราแสดงออก

คนที่มีจิตใจเข้มแข็งเท่านั้น จะเป็นผู้ที่ทนต่อปัญหา สถานการณ์ที่กระทบเข้ามา เหมือนกับต้นไม้ที่เติบโตเต็มที่ รากแข็งแรง ต้นใหญ่มั่นคง เมื่อโดนฝน พายุ อากาศร้อน หนาว เย็น ย่อมคงทนได้ทุกฤดูกาล

แต่ต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง ไม่ได้รับการดูแล รากแก้วไม่แข็งแรง ลำต้นไม่แข็งแรง ย่อมจะล้มลงง่ายๆ ตายไปด้วยความร้อน หรือ อากาศ หรือช่วงขาดน้ำเพียงไม่กี่วัน

จึงอยากคุยวันนี้ว่าเราจะสร้างกำลังจิตใจให้แข็งแรงได้อย่างไร ? เพราะไม่เช่นนั้นท่านจะอยู่ในโลกนี้เหมือนต้นไม้ไม่แข็งแรง โดนลมพัดไปมา เหมือนคำสอนของเปาโล ผู้นำชาวยิว กล่าวว่าหันไปเห มาด้วยลมปากของมนุษย์ ก็คือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามคำชักจูงของคน ซึ่งเราไม่รู้ว่าคนนั้นจะพูดในสิ่งที่ถูกหรือผิด แต่เมื่อคำพูดนั้นได้วิ่งเข้ามาในหู ถูกกลั่นกรองในสมอง ย่อมมีผลต่อจิตใจของเรา
และส่งผลต่ออารมณ์ของเราได้ จึงอยากหนุนใจว่าวันนี้ หรือคืนนี้ที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้ จงตั้งใจ ตั้งเป้าที่จะสร้างจิตใจ หรือจิตวิญญาณของท่านให้สมบูรณ์แข็งแรงและเติบโต หรือผมอยากจะใช้คำหนึ่งว่า “เป็นผู้ใหญ่” ในจิตวิญญาณนะครับ

จงจำไว้เรากำหนดเองได้ว่าจะให้จิตใจของเราเป็นอย่างไร ? เพราะเราเป็นเจ้าของ ไม่ใช่สถานการณ์หรือผู้หนึ่งผู้ใด

แล้ววันนี้ท่านกำหนด ตั้งเป้าหมาย ที่จะคิด เลือก ฟัง สิ่งที่ดีให้เป็นอาหารแก่จิตใจของท่านหรือยัง

หมวดวินัยชีวิต ตอน ต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอน ต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

สภษ.27: 19 “ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด ความคิดของคนก็ส่อคนฉันนั้น”
เราต้องสร้างระบบความคิดของเราให้ดี เหมือนเราจะประกอบรถยนต์คันหนึ่ง เราต้องรู้ว่าควรจะมีสามส่วนใหญ่ๆ คือ เครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์อะไหล่ที่จะนำมาประกอบเป็นรถ และสุดท้ายอุปกรณ์ที่จะใส่พวกเชื้อเพลิง สามส่วนนี้จะทำให้รถวิ่งไปได้ แต่หากว่าเราเอาอะไรที่ไม่ใช่ส่วนประกอบใส่รวมๆ เข้าไปไม่คัดแยก เช่นใส่อุปกรณ์ใบพัดสำหรับครื่องบิน หรือใบพายสำหรับเรือแจวเข้าไปในรถ มันคงจะรกมากกว่าเป็นรถ และมองไม่ออกว่าสิ่งที่เราจะสร้างคืออะไร

เหมือนกันชีวิตที่พระเจ้าสร้างเรามามีสามส่วน คือ จิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ

เราควรมีความคิดที่เป็นอาหารที่ทำให้สามส่วนเจริญขึ้น นั่นคือ ความเชื่อในศาสนาที่ทำให้เรามีคุณธรรม ทำความดีแก่ผู้อื่น

สอง มีความรักในตัวเองก็จะทำให้เราดูแลสุขภาพ และละทิ้งสิ่งใดที่ทำให้เราคิด ทำ ให้เรามีอารมณ์ที่แย่ลง หรือทำในสิ่งที่เป็นอบายมุข

และสุดท้ายก็คือ ความหวัง เป็นคนมีพลัง มีกำลังใจพร้อมที่จะต่อสู้ มีทัศนคติที่ดีและมองโลกด้วยความเป็นธรรม ไม่มองในแง่ดีจนเกินไปจนมองไม่เห็นความชั่วร้าย ไม่มองอะไรชั่วร้ายจนเกินไปจนไม่มีความสมดุลย์ครับ
ระบบความคิดที่ดีนั้น มักจะมาจากการมีความรู้ ความเข้าใจ หรือมีฐานข้อมูลที่ดี เรื่องนี้เคยกล่าวไปแล้ว แต่ตอนนี้จะแนะนำสิ่งที่เป็นเครื่องตัดสินใจในการคิด ประการแรก หากเราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด เราคิดสิครับว่า เรื่องนี้จะทำให้เราเจริญขึ้นด้วยอารมณ์ ปัญญา หรือนำไปปฎิบัติแล้วจะทำให้ดีขึ้นไหม

อีกประการหนึ่ง คือ สิ่งที่คิดผิดจริยธรรมไหม และสิ่งที่คิดจิตใจได้ฟ้องผิดหรือขัดแย้งในตัวเองหรือเปล่า อีกอย่างในเมื่อเราเป็น คริสตชนเรื่องนี้สำคัญ หากพระเยซูคริสต์ทรงคิดเรื่องนี้พระองค์จะคิดแบบเราหรือเปล่าครับ เสมือน สนามฟุตบอลที่มีการแข่งขัน หากไม่มีเส้น ไม่มีกรรมการ หรือไม่มีกติกา นักฟุตบอลคงเตะฟุตบอลไปเรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่มีโกล์ดเป็นเป้าหมาย อีกกี่ปีพวกเขาจะเล่นจนจบการแข่งขัน ความคิดของเราก็เป็นแบบนั้น ครับ ต้องมีเส้นขีดชัดเจน

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระเจ้าจะฝึกท่านดังนกอินทรีย์ ตอนที่ 01 รังของนกอินทรีย์

พระเจ้าจะฝึกท่านดังนกอินทรีย์ ตอนที่ 01 รังของนกอินทรีย์

นกอินทรีย์เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีปีกที่แข็งแรง ขนาดใหญ่ และมีโครงสร้างทางกายภาพที่แข็งแรง จัดอยู่ในประเภทนกที่ล่าเหยื่อเป็นอาหาร มีปลายปีกแหลมหรือปีกแตก จะงอยปากงองุ้มเป็นตะขอ

สังเกตว่าพระเจ้าทรงเปรียบเราเป็นดังนกอินทรีย์ เพื่อเป็นฝ่ายรุก ไม่ใช่ฝ่ายรับ เป็นฝ่ายออกไปไม่ใช่อยู่กับที่

นกอินทรีเป็นนกที่มีลักษณะสวยงาม แข็งแรง สายตาคม บินเร็ว โจมตีแม่นยำ ทำให้มองเห็นเหยื่อได้แต่ไกล ดังสายตาแห่งจิตวิญญาณของเรา ที่พระเจ้าทรงให้ มองเห็น เข้าใจไกลกว่า

เรื่องอื่น ๆ ที่เปรียบเทียบ ได้แก่ มีเพดานบินตั้งแต่พื้นราบจนถึงความสูง 2,100 เมตร ส่วนใหญ่จะมีสีเข้มและสร้างรังอยู่บนที่ภูผา ที่ชัน เหมือนชีวิตเรากับพระเจ้า ที่อยู่ที่สูง ชัน และอันตราย เสี่ยงภัย สำหรับผู้ไม่เชื่อไม่ใช่ลูกพระเจ้า ไม่ใช่ลูกนกอินทรีย์ แต่สำหรับพวกเราที่มีชีวิต ความชำนาญ ที่จะอยู่ด้วยความเชื่อ เป็นดังนกอินทรีย์ที่คุ้นเคยกับความสูง และถูกเลี้ยงมากับสายลมและหินผา แต่มันไม่เคยที่จะรู้สึกว่าเป็นอันตรายเลย

อินทรีย์เป็นนกที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงทำให้ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งการล่าเหยื่อ

เห็นรึยังว่า พระเจ้าทรงเปปรียบโลกฝ่ายวิญญาณในอาณาจักรแผ่นดินของพระองค์ เราเป็นดังราชา เพราะเราร่วมปกครองกับพระองค์ ในมิติฝ่ายวิญญาณและแผ่นดินสวรรค์

แต่กว่านกอินทรีย์จะโตจนแข็งแกร่ง ก็ต้องรับการฝึกฝนตั้งแต่เกิด ถูกแม่นกเตรียมชีวิตกว่า จะออกจากรัง มีขบวนการที่จะสอนให้เรารู้ว่ากว่าจะเป็นนกอินทรีย์ ได้ มันไม่ได้แข็งแกร่ง แหลมคมโดยกำเนิด เพราะทุกชีวิตย่อมมีขบวนการถูกเสริมสร้างและฝึกฝน ให้เรามาดูแต่ละช่วงแต่ละวัยของนกอินทรีย์ด้วยกัน

นกอินทรีย์วัยเด็ก
ยุทธวิธีในการเลี้ยงและฝึกลูกของนกอินทรีย์ และการสร้างรังของนกอินทรี มีความหมายซับซ้อน แต่มีบทเรียนของการสร้างลูกของมัน โดยเฉพาะรังของลูกนก

ชั้นที่หนึ่ง นกอินทรีย์จะหาก้อนหินมารองก่อน เพื่อใช้ในการสร้างฐานของรังให้มั่นคง ก็เหมือนชีวิตของเราต้องมีพระคริสต์เป็นศิลา คือหิน เช่นกันเราต้องมี รากฐานที่มั่นคง ตั้งแต่เรารับเชื่อ เราจำเป็นต่องมีคริสตจักร และพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณ ดูแล เลี้ยงดู ปลูกฝังค่านิยมในชีวิตพระคริสต์ให้แก่เรา

ชั้นที่สอง แม่นกจะคาบกิ่งไม้ทั้งใหญ่เล็กมาวางซ้อนทับก้อนหิน ซึ่งเหตุนี้ เราจำเป็นต้องมี ประสบการณ์กิ่งไม้ หรือไม้กางเขน เมื่อพูดถึงไม้ ชาวฮิบรูรู้เลยว่า มักจะเล็งถึงกางเขน หรือคำว่าต้นไม้เป็นชีวิตบนกางเขน เราต้องโตขึ้น จนเข้าใจชีวิตการแบกกางเขนของเรา

ชั้นที่สาม แม่นกจะหาหนามที่แหลมคมทั้งหนามเล็กและใหญ่มาวางซ้อนต่อจากกิ่งไม้อีกชั้น แน่นอน หนามเล็งถึงคามเจ็บปวด การทิ่มแทง พระเจ้าก็ต้องการ ให้เราเรียนรู้การเอาชนะ ความเจ็บปวด แต่เราต้องเรียนรู้วิธีชนะ สู้ ฟันฝ่า หนามที่ทิ่มแทงจิตใจ และการทนทุกข์ของร่างกาย เพื่อเอาชนะความบาป เนื้อหนังในชีวิตของเรา

ชั้นที่สี่ แม่นกจะหาใบไม้และหญ้าแห้งมาปูทับกิ่งไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าคิด เพราะหญ้าแห้งก็จะนุ่มขึ้นจากหนาม ดูเหมือนแม่นกอินทรีย์จะเอาส่วนที่นุ่มที่สุดไว้ข้างบน และส่วนที่ แข็งที่สุดไว้ข้างล่าง เพื่อ ชีวิตของเราจะเห็นว่าพระเจ้าให้สิ่งยาก เพื่อฝึกความอดทน แต่พระองค์ก็ทรงมีระดับยากง่ายและหนักเบาในการทดสอบเรา ดังพระวจนะที่กล่าวว่า พระองค์จะไม่ให้การทดสอบแก่เราจนเกินกำลังที่จะทนได้

ชั้นที่ห้า ชั้นสุดท้ายจะปูรังด้วยการสลัดขนของตนเอง ขนมาจากแม่นก หมายถึงชีวิตของเรามาจากพระกายของพระคริสต์ เรารับขนมปังมหาสนิท เป็นการเข้าสู่ความเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระกายที่เจ็บปวด อับอายเพื่อเรา โลหิตของพระองค์ที่ชำระเรา เพราะชีวิตลูกนก พื้นฐานมาจากตัวแม่นกเอง พื้นฐาน ความสัมพันธ์เรากับพระคริสต์ก็มาจากพระกายของพระองค์