อะไรเป็นตัวบ่งบอกว่าเขาต้องการรับการบำบัดปลดปล่อย?
ง่าย ๆ สองข้อครับ ข้อแรก เขาเองเบื่อหน่ายปล้ำสู้กับนิสัยพฤติกรรมนั้นและอยากเปลี่ยน ลองถามสามี/ภรรยา คนในครอบครัว หรือผู้นำ ผู้ดูแล ที่บอกเราได้อย่างชัดเจนว่าเรามีนิสัยบางอย่างที่สร้างปัญหาในการดำเนินชีวิต ในการทำงานหรือไม่ เช่น นิสัยขี้บ่น ใจแข็งกระด้าง ควบคุมผู้อื่น หรือเป็นผู้สร้างแรงกดดันให้กับคนรอบข้าง
แต่ละคณะนิกายมีวิธีการบำบัดที่แตกต่างกัน และมีสำนักงานพันธกิจที่แน่นอนชัดเจน เช่น การช่วยเหลือบำบัดฟื้นฟูจิตใจที่มีชื่อเสียง ได้แก่ มูลนิธิของประวีณา หงส์สกุล หรือวัดที่ช่วยคนติดยาเสพติด หรือโรงพยาบาลประสาท โรงพยาบาลโรคจิต ในตอนนี้ไม่ได้หมายความว่าเราหรือท่านเป็นโรคจิตนะครับ แต่ผมกำลังจะบอกว่ามีหน่วยงานบำบัดมากมาย อาชีพนี้ในอเมริกาทำให้หมอร่ำรวยไปตาม ๆ กัน เพราะคนทั่วไปยอมจ่ายเงินเป็นรายชั่วโมง เพื่อที่จะระบายความรู้สึกให้กับผู้ให้คำปรึกษาหรือให้แก่นักจิตวิทยา ผมกำลังพูดในบริบทคริสตจักร ถ้าหากว่ามีสมาชิกหรือทีมผู้นำของเราที่เป็นแบบนี้ เราจะช่วยเขาได้อย่างไรล่ะ ลงวินัยพวกเขา หรือห้ามพวกเขา เขาก็จะแอบ ๆ ซ่อน ๆ มีชีวิตสองมุม หรือเราจะช่วยเขาด้วยความรักและแสดงความรักต่อเขาจะดีกว่าไหม เพราะพระเจ้าทรงสอนเราใน กาลาเทีย 6:1-5 ว่า “ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย แม้จับผู้ใดที่ละเมิดประการใดได้ ท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณจงช่วยผู้นั้นด้วยใจอ่อนสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเองเกรงว่าท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปด้วย จงช่วยรับภาระของกันและกัน ท่านจึงจะได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระคริสต์ เพราะว่าถ้าผู้ใดถือตัวว่าเป็นคนสำคัญทั้ง ๆ ที่เขาไม่สำคัญอะไรเลย ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง ทุกคนจงสำรวจการกระทำของตนเอง จึงจะมีอะไร ๆ ที่จะอวดได้ในตัว ไม่ใช่เปรียบกับผู้อื่น เพราะว่าทุกคนต้องรับภาระของตัวเอง”
เราจึงต้องสำแดงความรักและพระเมตตาจากพระเจ้าช่วยคนที่อ่อนแอกว่า หรือเราจะปล่อยคนตกน้ำทั้งที่ไม่มีกำลัง ปล่อยให้เขาจมดิ่งในบาดแผล หรือถูกครอบงำจนสุดท้ายเขาหลุดไปจากทางชอบธรรมครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น