วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ สอง หาคนที่ รู้ใจเราดี

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่ สอง หาคนที่รู้ใจเราดี

ชีวิตของมนุษย์ ประกอบไปด้วย สามส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือ ร่างกาย ส่วนที่สองคือ จิตใจ และส่วนที่สามคือจิตวิญญาณ

ลองคิดดูสิครับว่าหากเรามีร่างกาย แต่ไม่มีวิญญาณเราก็คือคนตาย แต่หากเรามีวิญญาณแต่ไม่มีร่างกาย เราก็คือวิญญาณ แต่หากเรามีวิญญาณ ร่างกาย แต่ไม่มีจิตใจ ชีวิตของเราจะกลายเป็นคนที่ไร้ความรู้สึก อารมณ์เห็นอกเห็นใจ หรือรับรู้การสัมผัสของร่างกาย เราจะเป็นคนที่แห้งแล้งมากเลยทีเดียว
หลายคนไม่เข้าใจว่าจิตใจมีผลต่อชีวิตมาก เหมือนคำที่กล่าวว่าจิตใจที่ดีเหมือนยาวิเศษ คนป่วย คนท้อใจอยู่ในอาการเจ็บป่วยยาวนาน หากรับกำลังใจที่ดี ได้รับคำพูดหรือข่าวเรื่องราวที่เสริมสร้าง จิตใจก็จะหึกเหิม จะช่วย ให้เขากล้าที่จะลุกขึ้นมา และกล้าที่จะบุกน้ำลุยไฟอย่างไหนก็ได้

เพราะเขารู้ว่าหากทำผิดพลาด หรือสำเร็จก็จะมีคนๆ หนึ่ง คอยให้กำลังใจและปลอบใจให้แก่เขา และตอนนี้เราจะมาคุยกันว่า จะให้อาหารด้านจิตใจได้อย่างไร

เรื่องแรกคือคน คนที่ผมได้กล่าวไปบ้างแล้ว คือคนๆ นี้ เขาที่จะรู้สึกดีต่อท่าน คนที่คอยให้กำลังใจแก่ท่าน แม้ท่านล้มลง พ่ายแพ้ ท่านจะมีคนๆนี้ คอยให้กำลังใจ แต่ไม่ได้หมายความว่าอยู่กับม่านตลอดเวลา หรืออยู่ด้วยกัน เขาอาจอยู่ที่ไหนก็ได้ที่ท่านสามารถเขียนอีเมล์ โทรศัพท์ หรือไปหา เขาจะต้อนรับท่านเสมอ

วันนี้ท่านสร้างสัมพันธ์ และมีคนๆนี้แล้วหรือยัง เพราะหากท่านยังไม่มีก็จงเริ่มสร้างสัมพันธ์กับ ใครบางคน เสียตั้งแต่วันนี้ครับ แล้ววันหนึ่งท่านจะไม่ผิดหวังเลย ในยามที่ท่านต้องการใครสักคนหนึ่ง

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่1 การตั้งเป้าหมาย

การสร้างจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง ตอนที่1 การตั้งเป้าหมาย

ทุกวันนี้พวกเราทุกคนคงหนีไม่พ้นปัญหา อุปสรรคที่มีผลต่อจิตใจของเรา มันส่งผลให้อารมณ์ของเราดีและไม่ดี และส่งผลต่อคนรอบข้าง ที่จะโดนกระทบต่อสิ่งที่เราแสดงออก

คนที่มีจิตใจเข้มแข็งเท่านั้น จะเป็นผู้ที่ทนต่อปัญหา สถานการณ์ที่กระทบเข้ามา เหมือนกับต้นไม้ที่เติบโตเต็มที่ รากแข็งแรง ต้นใหญ่มั่นคง เมื่อโดนฝน พายุ อากาศร้อน หนาว เย็น ย่อมคงทนได้ทุกฤดูกาล

แต่ต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง ไม่ได้รับการดูแล รากแก้วไม่แข็งแรง ลำต้นไม่แข็งแรง ย่อมจะล้มลงง่ายๆ ตายไปด้วยความร้อน หรือ อากาศ หรือช่วงขาดน้ำเพียงไม่กี่วัน

จึงอยากคุยวันนี้ว่าเราจะสร้างกำลังจิตใจให้แข็งแรงได้อย่างไร ? เพราะไม่เช่นนั้นท่านจะอยู่ในโลกนี้เหมือนต้นไม้ไม่แข็งแรง โดนลมพัดไปมา เหมือนคำสอนของเปาโล ผู้นำชาวยิว กล่าวว่าหันไปเห มาด้วยลมปากของมนุษย์ ก็คือเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามคำชักจูงของคน ซึ่งเราไม่รู้ว่าคนนั้นจะพูดในสิ่งที่ถูกหรือผิด แต่เมื่อคำพูดนั้นได้วิ่งเข้ามาในหู ถูกกลั่นกรองในสมอง ย่อมมีผลต่อจิตใจของเรา
และส่งผลต่ออารมณ์ของเราได้ จึงอยากหนุนใจว่าวันนี้ หรือคืนนี้ที่ท่านกำลังอ่านบทความนี้ จงตั้งใจ ตั้งเป้าที่จะสร้างจิตใจ หรือจิตวิญญาณของท่านให้สมบูรณ์แข็งแรงและเติบโต หรือผมอยากจะใช้คำหนึ่งว่า “เป็นผู้ใหญ่” ในจิตวิญญาณนะครับ

จงจำไว้เรากำหนดเองได้ว่าจะให้จิตใจของเราเป็นอย่างไร ? เพราะเราเป็นเจ้าของ ไม่ใช่สถานการณ์หรือผู้หนึ่งผู้ใด

แล้ววันนี้ท่านกำหนด ตั้งเป้าหมาย ที่จะคิด เลือก ฟัง สิ่งที่ดีให้เป็นอาหารแก่จิตใจของท่านหรือยัง

หมวดวินัยชีวิต ตอน ต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

หมวดวินัยชีวิต ตอน ต้องมีขอบเขตบางเรื่องในการคิด

สภษ.27: 19 “ในน้ำ คนเห็นหน้าคนฉันใด ความคิดของคนก็ส่อคนฉันนั้น”
เราต้องสร้างระบบความคิดของเราให้ดี เหมือนเราจะประกอบรถยนต์คันหนึ่ง เราต้องรู้ว่าควรจะมีสามส่วนใหญ่ๆ คือ เครื่องไฟฟ้า อุปกรณ์อะไหล่ที่จะนำมาประกอบเป็นรถ และสุดท้ายอุปกรณ์ที่จะใส่พวกเชื้อเพลิง สามส่วนนี้จะทำให้รถวิ่งไปได้ แต่หากว่าเราเอาอะไรที่ไม่ใช่ส่วนประกอบใส่รวมๆ เข้าไปไม่คัดแยก เช่นใส่อุปกรณ์ใบพัดสำหรับครื่องบิน หรือใบพายสำหรับเรือแจวเข้าไปในรถ มันคงจะรกมากกว่าเป็นรถ และมองไม่ออกว่าสิ่งที่เราจะสร้างคืออะไร

เหมือนกันชีวิตที่พระเจ้าสร้างเรามามีสามส่วน คือ จิตใจ ร่างกาย และจิตวิญญาณ

เราควรมีความคิดที่เป็นอาหารที่ทำให้สามส่วนเจริญขึ้น นั่นคือ ความเชื่อในศาสนาที่ทำให้เรามีคุณธรรม ทำความดีแก่ผู้อื่น

สอง มีความรักในตัวเองก็จะทำให้เราดูแลสุขภาพ และละทิ้งสิ่งใดที่ทำให้เราคิด ทำ ให้เรามีอารมณ์ที่แย่ลง หรือทำในสิ่งที่เป็นอบายมุข

และสุดท้ายก็คือ ความหวัง เป็นคนมีพลัง มีกำลังใจพร้อมที่จะต่อสู้ มีทัศนคติที่ดีและมองโลกด้วยความเป็นธรรม ไม่มองในแง่ดีจนเกินไปจนมองไม่เห็นความชั่วร้าย ไม่มองอะไรชั่วร้ายจนเกินไปจนไม่มีความสมดุลย์ครับ
ระบบความคิดที่ดีนั้น มักจะมาจากการมีความรู้ ความเข้าใจ หรือมีฐานข้อมูลที่ดี เรื่องนี้เคยกล่าวไปแล้ว แต่ตอนนี้จะแนะนำสิ่งที่เป็นเครื่องตัดสินใจในการคิด ประการแรก หากเราคิดเรื่องหนึ่งเรื่องใด เราคิดสิครับว่า เรื่องนี้จะทำให้เราเจริญขึ้นด้วยอารมณ์ ปัญญา หรือนำไปปฎิบัติแล้วจะทำให้ดีขึ้นไหม

อีกประการหนึ่ง คือ สิ่งที่คิดผิดจริยธรรมไหม และสิ่งที่คิดจิตใจได้ฟ้องผิดหรือขัดแย้งในตัวเองหรือเปล่า อีกอย่างในเมื่อเราเป็น คริสตชนเรื่องนี้สำคัญ หากพระเยซูคริสต์ทรงคิดเรื่องนี้พระองค์จะคิดแบบเราหรือเปล่าครับ เสมือน สนามฟุตบอลที่มีการแข่งขัน หากไม่มีเส้น ไม่มีกรรมการ หรือไม่มีกติกา นักฟุตบอลคงเตะฟุตบอลไปเรื่อยๆ โดยไม่มีที่สิ้นสุด โดยไม่มีโกล์ดเป็นเป้าหมาย อีกกี่ปีพวกเขาจะเล่นจนจบการแข่งขัน ความคิดของเราก็เป็นแบบนั้น ครับ ต้องมีเส้นขีดชัดเจน

วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

พระเจ้าจะฝึกท่านดังนกอินทรีย์ ตอนที่ 01 รังของนกอินทรีย์

พระเจ้าจะฝึกท่านดังนกอินทรีย์ ตอนที่ 01 รังของนกอินทรีย์

นกอินทรีย์เป็นสัตว์เลือดอุ่น มีปีกที่แข็งแรง ขนาดใหญ่ และมีโครงสร้างทางกายภาพที่แข็งแรง จัดอยู่ในประเภทนกที่ล่าเหยื่อเป็นอาหาร มีปลายปีกแหลมหรือปีกแตก จะงอยปากงองุ้มเป็นตะขอ

สังเกตว่าพระเจ้าทรงเปรียบเราเป็นดังนกอินทรีย์ เพื่อเป็นฝ่ายรุก ไม่ใช่ฝ่ายรับ เป็นฝ่ายออกไปไม่ใช่อยู่กับที่

นกอินทรีเป็นนกที่มีลักษณะสวยงาม แข็งแรง สายตาคม บินเร็ว โจมตีแม่นยำ ทำให้มองเห็นเหยื่อได้แต่ไกล ดังสายตาแห่งจิตวิญญาณของเรา ที่พระเจ้าทรงให้ มองเห็น เข้าใจไกลกว่า

เรื่องอื่น ๆ ที่เปรียบเทียบ ได้แก่ มีเพดานบินตั้งแต่พื้นราบจนถึงความสูง 2,100 เมตร ส่วนใหญ่จะมีสีเข้มและสร้างรังอยู่บนที่ภูผา ที่ชัน เหมือนชีวิตเรากับพระเจ้า ที่อยู่ที่สูง ชัน และอันตราย เสี่ยงภัย สำหรับผู้ไม่เชื่อไม่ใช่ลูกพระเจ้า ไม่ใช่ลูกนกอินทรีย์ แต่สำหรับพวกเราที่มีชีวิต ความชำนาญ ที่จะอยู่ด้วยความเชื่อ เป็นดังนกอินทรีย์ที่คุ้นเคยกับความสูง และถูกเลี้ยงมากับสายลมและหินผา แต่มันไม่เคยที่จะรู้สึกว่าเป็นอันตรายเลย

อินทรีย์เป็นนกที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงทำให้ได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งการล่าเหยื่อ

เห็นรึยังว่า พระเจ้าทรงเปปรียบโลกฝ่ายวิญญาณในอาณาจักรแผ่นดินของพระองค์ เราเป็นดังราชา เพราะเราร่วมปกครองกับพระองค์ ในมิติฝ่ายวิญญาณและแผ่นดินสวรรค์

แต่กว่านกอินทรีย์จะโตจนแข็งแกร่ง ก็ต้องรับการฝึกฝนตั้งแต่เกิด ถูกแม่นกเตรียมชีวิตกว่า จะออกจากรัง มีขบวนการที่จะสอนให้เรารู้ว่ากว่าจะเป็นนกอินทรีย์ ได้ มันไม่ได้แข็งแกร่ง แหลมคมโดยกำเนิด เพราะทุกชีวิตย่อมมีขบวนการถูกเสริมสร้างและฝึกฝน ให้เรามาดูแต่ละช่วงแต่ละวัยของนกอินทรีย์ด้วยกัน

นกอินทรีย์วัยเด็ก
ยุทธวิธีในการเลี้ยงและฝึกลูกของนกอินทรีย์ และการสร้างรังของนกอินทรี มีความหมายซับซ้อน แต่มีบทเรียนของการสร้างลูกของมัน โดยเฉพาะรังของลูกนก

ชั้นที่หนึ่ง นกอินทรีย์จะหาก้อนหินมารองก่อน เพื่อใช้ในการสร้างฐานของรังให้มั่นคง ก็เหมือนชีวิตของเราต้องมีพระคริสต์เป็นศิลา คือหิน เช่นกันเราต้องมี รากฐานที่มั่นคง ตั้งแต่เรารับเชื่อ เราจำเป็นต่องมีคริสตจักร และพ่อแม่ฝ่ายวิญญาณ ดูแล เลี้ยงดู ปลูกฝังค่านิยมในชีวิตพระคริสต์ให้แก่เรา

ชั้นที่สอง แม่นกจะคาบกิ่งไม้ทั้งใหญ่เล็กมาวางซ้อนทับก้อนหิน ซึ่งเหตุนี้ เราจำเป็นต้องมี ประสบการณ์กิ่งไม้ หรือไม้กางเขน เมื่อพูดถึงไม้ ชาวฮิบรูรู้เลยว่า มักจะเล็งถึงกางเขน หรือคำว่าต้นไม้เป็นชีวิตบนกางเขน เราต้องโตขึ้น จนเข้าใจชีวิตการแบกกางเขนของเรา

ชั้นที่สาม แม่นกจะหาหนามที่แหลมคมทั้งหนามเล็กและใหญ่มาวางซ้อนต่อจากกิ่งไม้อีกชั้น แน่นอน หนามเล็งถึงคามเจ็บปวด การทิ่มแทง พระเจ้าก็ต้องการ ให้เราเรียนรู้การเอาชนะ ความเจ็บปวด แต่เราต้องเรียนรู้วิธีชนะ สู้ ฟันฝ่า หนามที่ทิ่มแทงจิตใจ และการทนทุกข์ของร่างกาย เพื่อเอาชนะความบาป เนื้อหนังในชีวิตของเรา

ชั้นที่สี่ แม่นกจะหาใบไม้และหญ้าแห้งมาปูทับกิ่งไม้ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าคิด เพราะหญ้าแห้งก็จะนุ่มขึ้นจากหนาม ดูเหมือนแม่นกอินทรีย์จะเอาส่วนที่นุ่มที่สุดไว้ข้างบน และส่วนที่ แข็งที่สุดไว้ข้างล่าง เพื่อ ชีวิตของเราจะเห็นว่าพระเจ้าให้สิ่งยาก เพื่อฝึกความอดทน แต่พระองค์ก็ทรงมีระดับยากง่ายและหนักเบาในการทดสอบเรา ดังพระวจนะที่กล่าวว่า พระองค์จะไม่ให้การทดสอบแก่เราจนเกินกำลังที่จะทนได้

ชั้นที่ห้า ชั้นสุดท้ายจะปูรังด้วยการสลัดขนของตนเอง ขนมาจากแม่นก หมายถึงชีวิตของเรามาจากพระกายของพระคริสต์ เรารับขนมปังมหาสนิท เป็นการเข้าสู่ความเป็นอันหนึ่งเดียวกันกับพระองค์ พระกายที่เจ็บปวด อับอายเพื่อเรา โลหิตของพระองค์ที่ชำระเรา เพราะชีวิตลูกนก พื้นฐานมาจากตัวแม่นกเอง พื้นฐาน ความสัมพันธ์เรากับพระคริสต์ก็มาจากพระกายของพระองค์

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

การช่วยกู้จากพระเจ้าผ่านคนที่คุณมองข้าม

การช่วยกู้จากพระเจ้าผ่านคนที่คุณมองข้าม

จำได้ว่าครั้งหนึ่งขณะลูกชายยังเล็กมาก ประมาณสี่ขวบ ได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ช่วงปีใหม่ ขากลับผมตีตั๋วรถไฟจากเชียงใหม่เพื่อมุ่งกลับสู่กรุงเทพฯ ปรากฎว่ารถไฟเที่ยวที่ผมจองตั๋วไว้เวลาออกจริงๆ 20.40 น. ผมตีตั๋วรถนอนไว้ครับ เพราะลูกชายจะได้นอนสบาย และผมกับภรรยาเมื่อมาถึงกรุงเทพฯก็จะตรงไปทำงานกันเลย

แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็จะเกิดขึ้นจนได้ เมื่อมาถึงสถานีเจ้าหน้าที่ประกาศว่า เนื่องจากรถไฟเที่ยวนี้เสีย รถจะมารับตอนตี 2 หมายความว่าทุกคนต้องรออีก 5 ชั่วโมงกับอีก 20 นาที

บางคนก็คืนตั๋วเพราะคงจะหาที่พักหรือโรงแรมแถวๆนั้น ส่วนผมกับภรรยาตัดสินใจรอครับเพราะดึกแล้ว ตอนที่เขาประกาศจะไปไหนก็ไม่ได้ อีกทั้งรถเที่ยวอื่นๆก็เต็มหมด จะไปนั่งทัวร์ก็ต้องรอวันรุ่งขึ้นหรือเครื่องบินก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะขณะนั้นเรารอ จนถึงเวลาเกือบเที่ยงคืน

ผมตัดสินใจไปถามรายละเอียดจากนายสถานีจึงรู้ว่ารถที่จะนำเราเข้ากรุงเทพฯ ทางอื่นได้ไหม นายสถานีบอกว่าได้ แต่เป็นรถนั่งธรรมดาชั้น 3 และจัดให้เหลือเพียง 3 ตู้เท่านั้น แต่อย่างไรก็ต้องกลับกรุงเทพฯให้ได้ เพราะทั้งผมและภรรยาต่างก็ติดประชุม และหากกลับคืนนี้วันต่อไปก็ไม่มีตั๋วอยู่ดี

ข้างๆ ที่เรานั่งรอรถไฟ มีหญิงคาดว่าเป็นหมอนวด หรือหญิงโสเภณี อยู่ 4-5 คน ที่พากันมาส่งมาม่าซัง หรือแม่เล้า เนื่องจากกริยา คำพูดของพวกเธอบ่งบอกอย่างชัดเจน เมื่อขบวนรถไฟชั้นสาม มาถึงเพื่อรับพวกเรา ท่านคิดดูสิว่าคนที่รอมากมาย เพราะอยากจะกลับกรุงเทพฯ หรือลงตามระยะทางตามจังหวัดต่างๆ มากมาย

เมื่อรถมาจอดที่ชานชลา ปรากฤว่ามีเพียงสามตู้เท่านั้น ผมคิดว่าคงต้องยืนเบียดๆกันทุกคน หรือบางคนอาจต้องไปนั่งบนตู้โบกี้แน่ มันจะพอได้อย่างไรกับผู้โดยสารที่แน่นมากมายขนาดนี้

เมื่อรถไฟจอดปุ๊บ คนหลายร้อยคนต้องแย่งกันขึ้นรถไฟซึ่งมีเพียง 3 ตู้ ต่างก็คาดหวังว่าจะได้นั่ง เพราะเพลียด้วยการอดหลับอดนอนมากันหลายชั่วโมง ผมกับภรรยาก็เก็บข้าวของวิ่งขึ้นรถ แต่ปรากฎว่าช้าไปครับ เมื่อถึงบันไดเราก็ถูกเบียดและผลักจนขึ้นไม่ได้ อีกทั้งมือทั้ง 2 ของเราก็ไม่ว่าง เพราะภรรยาผมต้องอุ้มลูกและผมต้องหิ้วกระเป๋า ทันใดนั้นเองหมอนวดคนหนึ่งก็วิ่งลงจากรถไฟ เพราะพวกเธอไปถึงก่อน มาอุ้มลูกผมไปก่อน ทำให้ภรรยาผมจึงขึ้นไปได้และผู้ชายที่มากับพวกผู้หญิงก็เข้ามาช่วยผมยกกระเป๋าขึ้นไป

เมื่อขึ้นไปบนรถไฟได้แล้ว หมอนวดอีก 3 คนได้นั่งจองที่นั่งให้เรียบร้อยแล้ว พวกเธอลุกขึ้นและให้เรานั่ง 3 พ่อแม่ลูกและพวกเธอก็ลงจากรถไฟไป โดยที่เธอบอกว่าเธอขึ้นมาก่อนเพื่อเตรียมที่สำหรับเรา 3 คนแล้ว

ขอบคุณพระเจ้า ท่ามกลางปัญหา เรายังเห็นพระพรของพระเจ้าที่ทรงให้คนที่ยังไม่เชื่อพระเจ้า คนที่สังคมประนามดูหมิ่น เป็นหญิงแพศยา เป็นหมอนวด แต่มีน้ำใจช่วยเหลือเรา

ผมกับภรรยาได้รับการหนุนน้ำใจอย่างมากในเหตุการณ์นี้ พระเจ้าทรงจัดเตรียมการช่วยกู้ให้เรา ได้วางแผนการณ์ที่จะช่วยให้เรามีที่นั่ง ผ่านคนที่หลายคนมองค่าไร้คุณค่า หรือรังเกียจ

เหตุนี้เองผมจึงได้เริ่มคิดไตร่ตรองในพระคัมภีร์ว่า ทำไมพระเยซูคริสต์จึงรักและนำความรอด ให้โอกาสสงสาร สนพระทัยหญิงโสเภณี เพราะพระเจ้ามองที่ใจ ไม่ได้มองภายนอก และพระองค์สามารถใช้คนที่จะเป็นพระพร อุปกรณ์ของพระองค์ เพื่อมาช่วยเรา แม้โลกคิดว่าต่ำต้อย ผิดกับพวกฟาริสี ที่คิดว่าตนเองเคร่งครัดบริสุทธิ์ แต่ไร้ความรักความเมตตา

วันนี้เรื่องสำคัญคือ เราจะเปิดรับพระพรของพระเจ้า การช่วยกู้จากพระองค์ผ่านวิธีการ หรือความคิดของเรา หรือ ให้พระองค์นำ ซึ่งมันอาจจะทำไห้คุณคิดไม่ถึง เพราะมันอาจเป็นคนที่คุณมองข้าม เพราะสิ่งที่หูไม่ได้ยิน และตามองไม่เห็นเป็นสิ่งที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้แก่ผู้ที่รักพระองค์ครับ

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ชีวิตที่เคยล้มลงของแคทเธอรีน คูลห์แมน

ชีวิตที่เคยล้มลงของแคทเธอรีน คูลห์แมน

11 ก.พ. 1891 -- 9 พ.ค.1907 ช่วงชีวิตของ Kathryn Johanna Kuhlman บุตรของ Joseph Adolph Kuhlman กับ Emma Walkenhorst ที่เมือง คอนคอร์เดีย รัฐมิสซูรี่ พี่สาวของเธอชื่อ Myrtle Kuhlman แต่งงานกับ Everett Parrot

ฤดูใบไม้ร่วง ปี 1921 แคทเธอรีน คูลห์แมน บังเกิดใหม่ที่ คจ.เมทธอดิสท์ ประมาณปี 1924 แคทเธอรีนร่วมกับพี่สาวและพี่เขยเดินทางไปประกาศที่รัฐวอชิงตันและโอเรกอน ตอนนั้นเธอได้มีโอกาสเทศนาบ้างเป็นครั้งคราว จนปี 1928 เธอเริ่มต้นพันธกิจของตัวเองที่เมืองบอยเซ่ รัฐไอดาโฮ จนถึงปี 1933 ที่เมืองพิวโบล รัฐโคโรลาโด้ เธอได้จัดการประชุม ฟื้นใจ และดำเนินติดต่อกันเป็นเวลานานถึง 6 เดือน

ต่อมาวันที่ 27 ส.ค. 1933 - จัดการประชุมที่เดน เวอร์เป็นครั้งแรกและดำเนินยาวนานเป็นเวลา 5 ปี และเริ่มต้นจัดรายการ วิทยุเป็นครั้งแรก ชื่อว่า KVOD จนวันที่ 28 ธ.ค. 1934 -- คุณพ่อถูกรถชน และเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา โดยไม่ได้เห็นหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้าย


ต่อมา 25 ก.พ. 1935 หน่วยงาน Denver Revival Tabernacle ได้ก่อตั้งขึ้น โดยมี แคทเธอรีน คูลห์แมน เป็นผู้อำนวยการการก่อตั้งอาคาร ซึ่งสร้างแล้ว เสร็จในเดือนมิถุนายน ปี1936 คุณแม่ของเธอบังเกิดใหม่และรับบัพติสมาในพระวิญญาณบริสุทธิ์ขณะร่วมการประชุมของเธอที่เมืองเดนเวอร์

เหตุการเริ่มแปรผันเมื่อเธอหันจากการทรงเรียกของพระเจ้า ต้นปี 1937 Burroughs Waltrip ผู้ประกาศหนุ่มรูปหล่อชาวเมืองเท็กซัส ซี่งเป็นหนึ่งในนักเทศน์รับเชิญหลายคนที่ถูกเชิญให้มาเทศนา มาเยี่ยม Denver Revival Tabernacle เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นในปลายปีเดียวกัน เขาฟ้องหย่าภรรยาคนแรกของเขา เขาทิ้งเธอพร้อมลูกชายเล็ก ๆ 2 คน และมาเริ่มต้นพันธกิจใหม่ของตัว เอง ตั้งชื่อว่า Radio Chapel ที่เมืองเมสันซิตี้ รัฐไอโอว่า

เดือนกรกฎาคม 1938 – แคทเธอรีน คูลห์แมนได้รับเชิญให้มาเทศนาที่ Radio Chapel ปรากฏว่าสองคนเริ่มมีความสัมพันธ์ ลึกซึ้งต่อกัน จนวันที่ 18 ต.ค.1938 แคทเธอรีนได้แต่งงานกับ Burroughs Waltrip ที่เมืองเมสันซิตี้

Radio Chapel ถูกปิดหลังจากนั้นไม่นาน และทั้งคู่ต้องจากไอโอว่าไปอยู่ที่อื่น จนปี 1943 ข่าวเรื่องการแอบแต่งงานอย่างไม่ถูกต้องของทั้งสองรั่วออกไป ทำให้การ ประชุมต้องถูกยกเลิกไป ทั้งคู่ย้ายไปอยู่อพาร์ทเมนท์ ที่เมืองลอสแองเจลลิส รัฐคาลิฟอร์เนีย ที่นั่นเองที่แคทเธอรีนมีประสบการณ์ตายต่อตัวเอง เธอ รู้สำนึกผิดและตัดสนใจทิ้งสามีของเธอ ซื้อตั๋วรถไฟเที่ยวเดียวไปเมืองแฟลงคลิน รัฐเพนซิลวาเนีย โดยไม่กลับมาหาและติดต่อชายที่เธอแต่งงานด้วยอย่างไม่ถูกต้องอีกเลยตลอดชีวิต

เธอซื้อตั๋วรถไปเที่ยวเดียวจริงๆ และไม่คิดหันหลังกลับมาอีก ชีวิตเธอมอบให้กับพระองค์ กลับมาสู่การทรงเรียกอีกครั้งอย่างแท้จริง

พายุเริ่มโหมเข้ามา ปี 1945 อีกสองปีหลังเธอกลับใจใหม่ จากความบาปล่วงประเวณี เธอถูกพาดหัวในหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นว่าหย่ากับสามี ทั้งที่ขณะนั้นวอลทริบยังไม่ได้ยื่นขอหย่ากับเธอเลยตามกฏหมาย จึงต้องกลับไปเพนซิลวาเนีย จากนั้นเมื่อเธอเดินทางไปที่ไหน เริ่มจัดประกาศ เมื่อถีงวันงานหนังสือพิมพ์ หรือนักข่าว บางครั้งก็เป็นคริสตจักร ได้ออกข่าวโจมตี เธอว่าเคยแต่งานและหย่า จึงทำไห้งานประกาศ งานประชุมของเธอเลิกจัดกลางครัน บางครั้งเธอย้ายไปอีกเมืองหนึ่ง และเริ่มจัดการประชุมใหม่ ใกล้ถึงเวลางานปรากฏว่าข่าวเรื่องการหย่ากับสามี ก็ตามไปถึงที่นั่น เธอก็งดจัดการประชุมอีก ผลจากการกลับใจใหม่ของเธอ และละทิ้งกับความบาปในอดีต แม้พระเจ้ายกโทษให้แก่เธอ แต่ว่านักข่าว คริสตชน ไม่ยอมที่จะให้โอกาสเธอเสียแล้ว เธอต้องย้ายถิ่นฐานบ่อย ๆ เพราะอยากหลบคำกล่าวหาจากอดีต และเธอต้องพิสูจน์ การกลับใจใหม่ไปอีกนาน โดยไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะผ่านพ้นสถานการณ์นี้

พระเจ้ามีเวลาของพระองค์ ก.พ. 1946 –เธอเริ่มเช่าสถานที่ของ Gospel Tabernacle จาก M.J. Maloney เธอเริ่มต้นออกอากาศรายการวิทยุ และต่อมา เธอเริ่มสนใจเรื่องการรักษาโรค จึงเดินทางไปดูตามที่ต่าง ๆ ที่มีการจัดครูเสด รักษาโรค และเธอเริ่มศึกษาค้นคว้าพระคัมภีร์อย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องพระวิญญาณ บริสุทธิ์

ต่อมา พ.ย. 1946 – เธอ ได้พบกับหญิงม่าย 2 คน ซึ่งได้ชวนให้แคทเธอรีนไปอยู่ด้วย ต่อมาหญิงม่ายคนหนึ่งตาย อีกคนกลายเป็นเลขาฯ ส่วนตัวของ แคทเธอรีนตลอดชีวิตของเธอ

จนเดือน เมษายน 1947 -เธอ เริ่มสอนเรื่องพระวิญญาณ จากนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นพยานว่าได้รับการรักษาโรค อีกไม่นานต่อมาก็มีการหายโรคครั้งที่สอง

จนปี 1948 วอลทริบ สามีเธอ ขอหย่าอย่างเป็นทางการ โดยมีเพื่อนสนิทของทั้งสองเป็นผู้เดินเรื่องให้อย่างลับ ๆ จนวันที่ 4 ก.ค. 1948 – เธอจัดการประชุม Miracle Crusade เป็นครั้งแรก จากนั้นก็จัดติดต่อกันเป็นเวลา 20 ปี ห้องประชุมล้นและเกิดการอัศจรรย์ตั้งแต่ครั้งแรกของการประชุม และปี 1973 -- ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิต ทางด้านมนุษยวิทยาจากมหาวิทยาลัยออรัล โรเบิร์ท แคทเธอรีน เสียชีวิตในวันที่ 20 ก.พ. 1976 เนื่องจากหัวใจล้มเหลว

จากบทเรียนนี้ แม้จะพลาดออกจากเส้นทางของพระเจ้า บาปหนักแค่ไหน มนุษย์รังเกียจ และจะไม่มีโอกาสให้ได้ยืนหยัด แต่ผลจากการกลับใจใหม่ของท่าน ก็จะเป็นที่ประจักษ์ และสามารถรับใช้ในงาน อันยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่งได้ เหมือนแคทเธอรีน คูลห์แมน ผู้ที่ตีตั๋วรถไฟเที่ยวเดียว ออกจากชีวิตเก่า และไม่ตีตั๋กลับอีกเลย พระเจ้ารอทุกคนอยู่ครับ

วันอาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เบเอลเซบูล

เบเอลเซบูล

เบเอลเซบูล หรือเจ้าแห่งแมลง เป็นชื่อที่พวกฟาริสีกล่าวหาว่าพระเยซูคริสต์ขับผีออกโดยอำนาจของเบเอลเซบูล ซึ่งเป็นเจ้าของหรือหัวหน้าปีศาจ

เบเอลเซบูลเป็นชื่อที่ชาวยิวใช้เรียกซาตาน และใช้ล้อเลียนดูถูกพระบาอัล ซึ่งเป็นพระต่างชาติที่ล่อลวงอิสราเอลติดตามไปหลายต่อหลายครั้ง แล้วก็ถูกการตีสอนจากพระเจ้า

ชื่อเบเอลเซบูล ba’ al z bul เป็นเจ้าของปีศาจ เป็นพระเจ้าแห่งเมืองเอโครนที่ชาวเมืองนี้นับถือ โดยช่วยป้องกันแมลงที่แพร่เชื้อโรคอยู่แถบนั้น จากสมมุติฐานในภาษาฮีบรู ba’ al z bul ตัว L ตัวสุดท้าย ย่อมาจาก Zebul ซึ่งแปลว่า มูลสัตว์ จึงสรุปได้ว่า เบเอลเซบูลเป็นเจ้าแห่งความโสโครก หรือนายของปีศาจ

แต่พระคริสต์กล่าวตอบโต้พวกฟาริสีว่า หากพระองค์ขับผีออกโดยเบเอลเซบูล ซึ่งเป็นนายผีแล้วออก ก็หมายถึงพวกผีมีความแตกแยกกันเองแล้วซิ เพราะพระองค์กำลังขับพวกมันเอง หากพระองค์เป็นพวกเดียวกับมัน แต่ว่าหากพระองค์ขับผีออกด้วยฤทธิ์เดชพระวิญญาณ ความยิ่งใหญ่กว่านั้นคือ “แผ่นดินของพระเจ้ามาถึงแล้ว”

ลักษณะแผ่นดินของพระเจ้าที่พระคริสต์กล่าว หมายถึง ให้น้ำพระทัยของพระเจ้าครอบครองปกครองในความคิดและชีวิตของผู้นั้น ยินยอมให้พระเจ้าสถิตในผู้นั้น และสังคมคริสเตียน ผู้เชื่อในโลกสำเร็จดังที่เสร็จสิ้นในสวรรค์ ชีวิตที่เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจ เพราะ ยอห์นให้คนไปถามพระคริสต์ว่าท่านเป็นผู้นั้นที่จะมาหรือ (คือผู้ที่คำพยากรณ์ ในพันธสัญญาเดิมกล่าวถึงพระองค์) และพระองค์ทรงตรัสว่า หากคนง่อยเดินได้ คนตาบอดมองเห็น คนตายแล้วพระองค์ทรงทำให้ฟื้น นั่นแหละแผ่นดินพระเจ้า ทรงมาถึงโลกนี้แล้ว

ท่านไม่ต้องอยู่นโลกแห่งการพ่ายแพ้อีกต่อไป อย่าให้ชีวิตอยู่ในความกลัวอีก เพราะเมื่อแผ่นดินพระเจ้ามาถึงแล้ว ท่านเลือกเองได้ เลือกที่จะชนะ เลือกที่จะหาย อย่าให้บาดแผลในอดีตมาเป็นอุปสรรคของชีวิต เพราะท่านมีชีวิตเพื่อวันนี้ วันนี้เป็นของขวัญของท่าน

บทเรียนน่าคิดว่า อย่าให้เบเอลเซบูลโผล่ออกมาจากความคิด ชีวิตประจำวัน แต่ให้แผ่นดินสวรรค์มาตั้งอยู่โดยการยอมจำนนความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ และพระคริสต์ และฤทธิ์อำนาจแห่งการเยียวยาเข้ามารักษา ปลดปล่อยท่าน เพียงแต่เข้าใจก่อนว่า พระองค์ทรงอยู่ข้างท่าน และพระองค์มาเพื่อรักท่าน ไม่ใช่มาเพื่อต่อต้านท่าน แต่มาเพื่อทำให้ท่านหายดีและปกติ ท่านต้องคิด ตั้งใจที่จะหาย และเป็นไท มันเริ่มที่ความคิดก่อนครับ

นกอินทรีย์


อพย.19:4 ว่า "เราเทิดชูเจ้าขึ้น ดุจดังด้วยปีกนกอินทรี เพื่อนำเจ้ามาถึงเรา"

เมื่ออิสราเอล เดินทางออกจากประเทศอียิปต์ พวกเขาเดินทางมาถึงทุรกันดารซีนาย โมเสสก็ตั้งค่ายที่หน้าภูเขานั้น แล้วโมเสสไปเข้าเฝ้าพระเจ้า และพระเจ้าให้โมเสสบอกกับอิสราเอลว่า พระเจ้าเปรียบอิสราเอลดังนกอินทรี พระวจนะของพระเจ้าสัญญากับประชากรของพระองค์

นกอินทรีเป็นนกที่ใหญ่พวกหนึ่ง มีถึง 59 พันธ์ุ มีกำลังมากที่สุดในโลก ซึ่งไม่เคยมี
ปรากฎการณ์นกอินทรีบินตกลงมาเลย นกอินทรีเข้มแข็ง กล้าหาญ มีสายตาแหลมกว่ามนุษย์
และสัตว์ใด ๆ โดยเฉพาะอินทรีทอง มันถูกฝึกให้ล่าสัตว์แถบตอนกลางทวีปเอเซีย
เช่น พวกกวาง, สุนัขป่า มันโฉบสัตว์บริเวณหัว จุดสำคัญแม่นยำมาก โดยอุ้งเล็บอันคมกริบ

นกอินทรีเป็นนกที่ปกป้องหวงลูกของมันมาก เฝ้าดูแลอย่างระมัดระวัง จนลูกเข้มแข็ง
พอจะบินได้ ไม่เพียงเท่านั้นกำลังบินของนกอินทรีมีมาก บินสูง ไว และนกอินทรียัง
เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพอันเกรียงไกรของโรมัน

พระเจ้าให้ท่านเป็นดังนกอินทรีที่บินสูง เหนืออุปสรรคปัญหา มีความแหลมคม มองผ่านข้ามอุปสรรคปัญหาที่มารมาหลอกลวงเรา และพระเจ้าจะทรงให้เรามีอิสระภาพจากข้อผูกมัดในโลกแห่งความบาปทั้งปวง มีกำลังที่มาจากพระเจ้า อย่าคิดว่าตนเองเป็นดัง "นกกระจอก" อย่ามองแต่โขดหินแห่งบาดแผลความผิดพลาด ค่านิยมมาตรฐานของโลก เพราะนกอินทรีย์ก็มีมาตรฐานการบินดังนกอินทรีย์ นกกระจอกก็มีมาตฐานการบิน การเป็นอยู่ดังนกกระจอกพระเจ้าจะให้ท่านเป็นดังนกอินทรีย์ ซึ่งเป็นสัตว์ที่แหลมคม ว่องไว แม่นยำที่สุดในบรรดานกทั้งหลาย เช่นเดียวกัน ท่านแตกต่างและสูงค่านักในพระองค์

และท่านจะถูกเชิดชูขึ้น ต้องด้วยกำลังของลมใต้ปีกที่พยุงท่านอยู่ ขอให้ลมแห่งความรัก
และพลังลมแห่งการอธิษฐาน พลังลมแห่งพระวจนะจากพระโอษฐ์พระเจ้า พยุงท่านตลอดไป

วันอาทิตย์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เธอเป็นคนพิเศษ

เธอเป็นคนพิเศษ
เขียนโดย แมกซ์ ลูคาโด

พอดีได้อ่านหนังสือเรื่องวิญญาณการถูกปฏิเสธ ของจอห์นพอล แจ็คสัน และท่านได้ยกตัวอย่าง ละครแนวอุปมาอุปมัย เป็นบทเรียนเกี่ยวกับการมีคุณค่าของตัวเราเอง ผมจึงได้แปล เพื่อจะได้เป็นกำลังใจ แก่คนที่รู้สึกว่าตัวเองแย่ แท้จริงหนังสือของแมกซ์ ลูคาโดมีหลายเรื่อง นี่เป็นเรื่องหนึ่งที่อยากจะให้กำลังใจพี่น้องทุกท่าน ลองอ่านดูนะครับ

เว็มเม็กซ์คือหุ่นไม้รูปคนตัวเล็ก ๆ หุ่นทุกตัวถูกแกะสลักโดยช่างแกะไม้ชื่อ เอลี เขาอยู่ที่บนภูเขานอกหมู่บ้าน หุ่นแต่ละตัวจะไม่เหมือนกัน บางตัวก็มีจมูกใหญ่ บางตัวก็มีตาโต บางตัวก็สูง บางตัวก็เตี้ย บางตัวสวมหมวก บางตัวสวมเสื้อคลุม แต่ทุกตัวถูกสร้างขึ้นโดยช่างไม้คนเดียวกัน และอยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน เว็มเม็กซ์ทุกตัวจะมีกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปดาวสีทอง และกล่องที่เต็มไปด้วยสติ๊กเกอร์ที่เป็นรูปจุดสีเทา และทุก ๆ วัน หุ่นเหล่านี้จะทำอย่างหนึ่งเหมือนกัน คือ พวกมันจะติดสติ๊กเกอร์ให้กันและกัน ทุกคนสามารถมองเห็นสติ๊กเกอร์รูปดาวหรือรูปจุดที่ติดอยู่บนตัวของแต่ละคนได้

ตัวที่สวยหน่อย เนื้อไม้เรียบลื่นและทาสีสวยงาม ก็มักจะได้สติ๊กเกอร์รูปดาวเสมอ แต่ตัวที่เนื้อไม้ไม่เรียบและสีหลุดลุ่ยก็จะได้สติ๊กเกอร์รูปจุด ตัวที่มีความสามารถพิเศษก็จะได้รับดาวด้วยเหมือนกัน บางตัวยกไม้ท่อนใหญ่ให้สูงเหนือศรีษะได้ หรือกระโดดข้ามกล่องสูง ๆ ได้ บางตัวก็รู้จักคำศัพท์ยาก ๆ หรือร้องเพลงไพเราะ ทุกตัวเหล่านี้จะได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาว

เว็มเม็กซ์บางตัวได้รับสติ๊กเกอร์รูปดาวเต็มตัวไปหมด และทุกครั้งที่เขาได้รับรูปดาว พวกเขาก็รู้สึกดี และยิ่งทำให้เขาทำดีอีก และได้รับดาวเพิ่มขึ้นอีก ที่เหลือมีความสามารถนิดหน่อยก็ได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุด
พันชินเนลโล คือหนึ่งในตุ๊กตาพวกหลัง เขาพยายามกระโดดให้สูงเหมือนตัวอื่น แต่เขาก็ล้มลงทุกครั้ง และเมื่อเขาล้มลง ตุ๊กตาตัวอื่นก็จะมามุงดูเขาและติดสติ๊กเกอร์รูปจุดให้แก่เขา

และบางครั้งเมื่อเขาล้ม มันทำให้เนื้อไม้ของเขาชำรุดด้วย และทุกคนก็เอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาเพิ่มให้เขาอีก เขาพยายามอธิบายว่าทำไมเขาล้มลง แต่เขาก็มักจะพูดโง่ ๆ ออกไป ไม่นาน เขาก็มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเต็มไปหมด จนเขาไม่อยากออกนอกบ้านอีกเลย เพราะเขากลัวว่าเขาจะทำเรื่องโง่ ๆ อีก เช่น ลืมหมวก หรือสะดุดหกล้ม และจะทำให้คนอื่นเอาสติ๊กเกอร์รูปจุดมาติดเพิ่มให้เขาอีก ที่จริงเขาได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดมากจนเว็มเม็กซ์ที่เดินผ่านมาเจอเขาก็จะติดสติกเกอร์ให้เขาทันทีโดยไม่มีเหตุผล เพราะว่า “เขาสมควรจะได้รับสติ๊กเกอร์รูปจุดเยอะ ๆ เขาไม่ใช่หุ่นไม้ที่ดี”

ไม่นาน พันชินเนลโลก็เชื่อพวกเขาและพูดกับตัวเองว่า “ฉันเป็นหุ่นไม้ที่ไม่ดี” เวลาที่เขาออกไปข้างนอก เขาก็มักจะเข้ากลุ่มกับเว็มเม็กซ์ที่มีจุดเยอะ ๆ เหมือนเขา เขารู้สึกดีที่จะอยู่กับหุ่นไม้ที่เหมือนกันเขา
วันหนึ่ง เขาพบเว็มเม็กซ์ตัวหนึ่งที่ไม่เหมือนตัวอื่นที่เขาเคยพบมาก่อน เธอไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดหรือดาวเลย เธอก็เป็นหุ่นไม้ตัวหนึ่งเหมือนกับเขา เธอชื่อว่า ลูเซีย ไม่ใช่ว่าไม่มีใครพยายามจะติดสติ๊กเกอร์ให้กับเธอ แต่สติ๊กเกอร์เหล่านั้นติดไม่อยู่และหลุดหมด มีบางคนชื่นชมลูเซียที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปจุดเลย พวกเขาจึงวิ่งมาจะให้สติ๊กเกอร์รูปดาวกับเธอ แต่สติ๊กเกอร์นั้นก็จะหลุดลงมา บางคนก็ดูถูกเธอที่ไม่มีสติ๊กเกอร์รูปดาว พวกเขาจึงอยากให้สติ๊กเกอร์รูปจุดแก่เธอ แต่มันก็ไม่ติดเหมือนกัน พันชินเนลโลจึงคิดในใจว่า “ฉันก็อยากจะเป็นอย่างนั้นเหมือนกัน” ดังนั้น เขาจึงถามเว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ว่า “ฉันไม่อยากได้สติ๊กเกอร์ของใคร ๆ เหมือนกัน เธอทำยังไงน่ะ” ลูเซียตอบว่า “ง่ายมาก ทุก ๆ วันฉันจะไปหาเอลี”

“เอลีหรือ?” “ใช่ เอลีช่างไม้ไงล่ะ ฉันจะไปนั่งคุยกับเขาทุกวัน” “ทำไม?” “ทำไมเธอไม่ไปหาคำตอบด้วยตัวเธอเองล่ะ? ขึ้นไปบนภูเขาสิ เขาอยู่ที่นั่น”

จากนั้น เว็มเม็กซ์ที่ไม่มีสติ๊กเกอร์ก็หันหลังแล้วเดินจากไป “แต่ถ้าเขาไม่อยากจะเจอฉันล่ะ?” พันชินเนลโลตะโกนถาม แต่ลูเซียไม่ได้ยิน ดังนั้น พันชินเนลโลจึงกลับบ้าน เขานั่งใกล้หน้าต่าง และมองดูพวกหุ่นไม้ที่เดินเข้าหากันและกันและให้สติ๊กเกอร์แก่กันและกัน “นี่มันไม่ถูกต้องเลย” เขารำพึงกับตัวเอง และเขาก็ตัดสินใจที่จะไปหาเอลี เขาเดินไปตามทางแคบ ๆ ไปยังยอดเขาและเข้าไปยังบ้านของช่างไม้ แล้วตาของเขาก็เปิดกว้างเมื่อมองเป็นทุกสิ่งในนั้นมีขนาดใหญ่โตมาก เก้าอี้มีขนาดสูงเท่ากับตัวเขา เขาต้องยืนเขย่งขาขึ้นเพื่อที่จะมองเห็นว่ามีอะไรอยู่บนโต๊ะ มีขวานที่มีขนาดยาวเท่ากับแขนของเขา พันชินเนลโลกลืนน้ำลายด้วยความยากเย็น “ฉันจะไม่อยู่ที่นี่แน่!” แล้วเขาก็หันหลังกลับ แต่แล้วเขาก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อเขา

"พันชินเนลโล?" เสียงนั้นนุ่มลึกและมีพลัง พันชินเนลโลหยุดเดิน “พันชินเนลโล! ดีใจจริง ๆ ที่เจอเจ้าที่นี่ มานี่มา มาให้ดูเจ้าใกล้ ๆ หน่อย” พันชินเนลโลหันกลับมาช้า ๆ และมองไปที่ช่างไม้ร่างใหญ่ที่มีหนวดเครา “คุณรู้จักชื่อผมด้วยหรือครับ?” เว็มเม็กซ์ตัวน้อยถาม

"แน่นอนสิ เรารู้จักจัก เราสร้างเจ้ามา" เอลีก้มลงและอุ้มเขาขึ้นมานั่งบนเก้าอี้ “อืม..” เอลีกล่าวขึ้นมาอย่างใคร่ครวญและมองเขาด้วยอย่างสำรวจที่สติ๊กเกอร์รูปจุดสีเทา “ดูเหมือนเจ้าได้รับเครื่องหมายที่ไม่ค่อยดีเยอะเลยนี่” “ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับ เอลี ผมพยายามแล้ว” “โอ้ เจ้าไม่ต้องอธิบายกับเราหรอก ลูกรัก เราไม่สนใจหรอกว่าเว็มเม็กซ์ตัวอื่น ๆ พูดถึงเจ้าอย่างไร” “คุณไม่สนหรือครับ?”

“ไม่เลย และเจ้าก็ไม่ควรสนใจด้วยเช่นกัน พวกเขาเป็นใคร ที่จะมาเที่ยวให้ดาวหรือจุดกับใคร ๆ ? พวกเขาก็เป็นเพียงหุ่นไม้เหมือนกับเจ้า พวกเขาคิดยังไงก็ไม่สำคัญหรอก พันชินเนลโล สิ่งที่เราคิดต่างหากที่สำคัญ และเราก็คิดว่าเจ้าเป็นหุ่นที่พิเศษมาก”

พันชินเนลโลหัวเราะ “ผมน่ะเหรอครับ พิเศษ? ทำไมล่ะครับ? ผมวิ่งก็ไม่เร็ว กระโดดก็ไม่สูง สีของผมก็หลุดลอก แล้วผมจะพิเศษสำหรับคุณอย่างไร?”

เอลีมองพันชินเนลโล เขาเอามือวางบนไหล่เล็ก ๆ ของเจ้าหุ่นไม้ตัวเล็ก และพูดด้วยเสียงเบา ๆ ว่า “เพราะว่าเจ้าเป็นของเรา ดังนั้นเขาจึงสำคัญสำหรับเรา”

ไม่เคยมีใครมองพันชินเนลโลอย่างนี้มาก่อน เขาไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
"ทุกวัน เราเฝ้าหวังว่าเจ้าจะมา” เอลีกล่าว “ผมมาเพราะว่าผมเจอหุ่นไม้ตัวหนึ่งที่ไม่มีสติ๊กเกอร์”
"เรารู้แล้ว เธอเล่าเรื่องที่เจอกับเจ้าให้เราฟัง"
"ทำไมสติ๊กเกอร์ถึงไม่ติดบนตัวเธอล่ะครับ?"
"เพราะว่าเธอเลือกที่จะเชื่อว่าสิ่งที่เราคิดสำคัญกว่าสิ่งที่คนอื่น ๆ คิดน่ะสิ สติ๊กเกอร์มันจะติดอยู่ที่ตัวเธอได้เพราะว่าเธออนุญาตเท่านั้น”
"อะไรนะ?"
"สติ๊กเกอร์สามารถติดบนตัวเธอได้ถ้าเธอคิดว่ามันสำคัญสำหรับเธอ แต่ถ้าเธอวางใจในความรักของเรามากเท่าไหร่ เธอก็จะสนใจเกี่ยวกับสติ๊กเกอร์น้อยลงเท่านั้น”
"ผมไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจ"

"เจ้าจะเข้าใจ แต่มันต้องใช้เวลา เจ้ามีสติ๊กเกอร์และบาดแผลมาก ดังนั้น จากนี้ไป จงมาหาเราทุกวัน และให้เราได้ทำให้เจ้าได้รู้ว่าเราสนใจเจ้าแค่ไหน” เอลีอุ้มพันชินเนลโลลงจากเก้าอี้ “จำไว้นะ” เอลีกล่าวขณะที่พันชินเนลโลก้าวออกจากประตู “เจ้าเป็นคนพิเศษ เพราะว่าเราสร้างเจ้ามา แล้วเราไม่ได้สร้างเจ้ามาผิดพลาด”

พันชินเนลโลเดินจากไปพร้อมกับคิดว่า “ฉันคิดว่าเขาคิดอย่างนั้นจริง ๆ” แล้วทันใดนั้น สติ๊กเกอร์รูปจุดก็ล่วงหล่นลงพื้น

วันอังคารที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2553

การข่มเหงและการเกิดผล

การข่มเหงและการเกิดผล

ประมาณปี คศ.62 กรุงโรมปกครองโดยกษัตริย์เนโร กษัตริย์องค์นี้อ่อนแอมาก ตามประวัติศาสตร์เล่ากันว่า ท่านได้ฆ่ามารดาของตน และท่านถูกตัดอวัยวะเพศทิ้ง และมารดาของท่านก็เกลียดชังลูกสะใภ้ ท่านคงจะเป็นโรคประสาทด้วย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย

ที่ร้ายกว่านั้นท่านมีความคิดแปลกๆ คือท่านได้คิดจะเผากรุงโรมและคิดจะสร้างใหม่ แต่ประชาชนได้ลุกฮือขึ้นต่อต้าน เพราะความเดือดร้อนที่บ้านเมืองถูกไฟเผา ต่างหนีเอาชีวิตรอดด้วยใจเคียดแค้นและด้วยความเกลียดชัง แต่แล้วกษัตริย์เนโรซึ่งเกลียดชังคริสเตียนอยู่แล้วในช่วงนั้น จึงโยนความผิดให้พวกคริสเตียน โดยอ้างว่าพวกเป็นคนเผา เหตุนี้เองจึงมีการจับคริสเตียนมาลงโทษ โดยจับปล่อยไว้กลางสนามกีฬา แล้วปล่อยสิงโตที่อดอาหารมาหลายๆ สัปดาห์ให้ออกมากัดกิน ท่ามกลางการชมอย่างสนุกสนานของประชาชนชาวโรม คริสเตียนบางคนก็ถูกเผาทั้งเป็นเสมือนเป็นโคมไฟในเวลากลางคืน เพราะการที่ไม่ยอมปฏิเสธว่า พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า อาจารย์เปาโลกับท่านเปโตรก็ตายในสมัยกษัตริย์องค์นี้ปกครองแหละครับ

จากจุดนี้เอง จีงสร้างความแปลกใจให้กับประชาชนและที่ราชการของกษัตริย์เนโรมาก เพราะขณะที่คริสเตียนถูกสิงโตกิน พวกเขาเกาะกลุ่มกันร้องเพลงนมัสการสรรเสริญพระเจ้า เสียงเพลงดังก้องไปทั่วสนามกีฬา

ข้อคิดในเรื่องนี้คือ ทุกยุคทุกสมัย คริสเตียนพบกับปัญหาเผชิญกับอุปสรรคและความตายเสมอ แต่ยิ่งถูกข่มเหง คริสตชนผู้เชื่อก็ยิ่งเพิ่มขึ้นไม่เคยหยุด เช่นกันแม้จะมีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้นในชีวิตของเรา แต่เสียงสรรเสริญที่เปล่งในจิตวิญญาณของเราไม่ควรดับไป

อย่าให้อุปสรรคปัญหาที่เล็กน้อยมากในสมัยของเรานี้ไม่ถีงกับเลือดตกยางออก หรือต้องชีวิตถีงตาย เหมือนผู้เชื่อในอดีต อย่าให้เราท้อแท้และละทิ้งความเชื่อในพระเจ้าไปเสียเพราะสิ่งที่เราจะได้มีค่าและมีความหมายสูงส่งกว่า ความทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ที่พระเจ้าจัดเตรียมไว้ให้เรา คือชีวิตนิรันด์ ชีวิตที่หมดจากเวรกรรม สันติสุขแท้ที่ไม่เหมือนโลกให้

การให้คุณค่า

การให้คุณค่า

ตามที่จำได้ว่ามีหมอคริสเตียนท่านหนึ่งชื่อ หมอชไวเดอร์ ท่านกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่ นักเทศน์เดินมาเห็นเพราะหมอเป็นสมาชิกคริสตจักรของท่านนักเทศน์ถาม หมอทำอะไรอยู่ หมอตอบรดน้ำต้นไม้ นักเทศน์ถามต่อทันที เดี๋ยวพระเยซูเสด็จกลับมารับหมอจะทำอะไร? หมอตอบ พระเยซูมาก็เป็นเรื่องของพระองค์ ผมก็จะรดน้ำต้นไม้ต่อ คุณได้รับบทเรียนจากเรื่องนั้อย่างไร?

การให้คุณค่าสิ่งที่ทำ หรือรู้เป้าหมายสิ่งที่กำลังรับผิดชอบ เราทุกคนต่างมีภาระหน้าที่รับผิดชอบ แต่เราต้องมั่นใจว่า สิ่งที่เราทำนั้น เรารู้ว่ามีคุณค่า มีเป้าหมาย จุดประสงค์แม้พระคริสต์เสด็จมาเมื่อใหร่ เราก็ยังคงทำต่อไปเพราะเราทำตามที่พระองค์ทรงกำหนด หรือเป็นหน้าที่ในชีวิตประจำวัน เพราะเรารู้คุณค่า และมีเป้าหมาย ไม่ใช่ไม่รู้เป้าหมาย ไม่รู้คุณค่า

ดังพระองค์ทรงยกเรื่องคำอุปมาที่บ่าวบอกกับนายว่า ข้าพเจ้าทำตามหน้าที่ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ครบถ้วนแล้ว และเป็นบ่าวไม่มีบุญคุณต่อนาย เปาโลบอกว่าข้าพเจ้าจะไม่ชกลม ดังนี้อย่าให้เรา เบื่อตัดพ้อ ในสิ่งที่ต้องรับผิดชอบอยู่ แม้ว่าจะไม่ดีรับความเป็นธรรมเพราะความผิดของผู้อื่นหรือใคร ปฏิญาณเลยว่าจะไม่ให้ ใจหรือปาก ทำบาป ผิดพลาด เพราะตอบโต้คนที่ทำผิดต่อเราแม้เราถูก ในสายพระเนตร เราอาจไม่เป็นที่พอพระทัย การเจิมก็จะสิ้นสุดลง เพราะเราตามใจเนื้อหนัง ของเรา

หลายครั้งเรามักจะถอดใจ หรือบ่น หรืออ่อนระอา ผมอยากท้าทายว่าหากต่อหน้าพระคริสต์ พระองค์อาจถามเราว่า เจ้าอดทนจนถึงที่สุดแล้วหรือไม่ เรารักเขามากจนถึงที่สุดหรือไม่ เจ้าให้โอกาสเขามากที่สุดหรือไม่

เราจะตอบว่าอย่างไร? นี่เอง เราต้องปฎิญาณกับตัวเองว่า จนถึงที่สุด จะป็นคำที่เราให้การกับพระเจ้าว่า ถึงที่สุดแล้วพระเจ้าข้า

ทั้งสองตอนนี้เกี่ยวกันอย่างไร เพราะผมกำลังบอกว่าสิ่งที่เผชิญอยู่นี้ เราสามารถรู้คุณค่า และทำอย่างมีเป้าหมาย และจะรัก จะทนจนถึงที่สุด หากวันพิพากษา เราจะบอกกับพระองค์และพระองค์ก็เห็นว่า เรารัก จนถึงที่สุดจริงๆ เพราะ พระเจ้าทรงรักผู้ที่รู้จักพระองค์ และพระองค์จะให้เราอดทนอีกทั้งจะให้เรามีช่องทางหลีกเลี่ยงได้
(1คร8:3,8:13)

เรียบเรียง โดย เจริญ ยธิกุล

จงขอบคุณทุกกรณี (1ธส. 5:7)

จงขอบคุณทุกกรณี (1ธส. 5:7)

ไม่มีสิ่งใดในโลกที่จะแสดงความขอบคุณได้อย่างชัดเจนเท่ามนุษย์ โต๊ะ, เก้าอี้, บ้าน คงไม่ขอบคุณผู้เช็ดถูกวาดให้นะครับ แต่สิ่งที่จะตอบสนองความดีและพระคุณด้วยมีจิตสำนึกอันสูงส่ง คงมีแต่มนุษย์นี่แหละครับ โดยเฉพาะคนที่เป็นบุตรพระเจ้า

ในงานเลี้ยงฉลองของบริษัทยักษ์ใหญ่ในเรื่องหัวอาหารหมูแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าภาพได้เชิญหุ้นส่วนทั่วประเทศมาร่วมฉลองในผลกำไรสูงสุดรอบ 5 ปี ในงานเลี้ยงมีตั้งแต่พ่อค้า, กสิกร, นักธุรกิจ มาร่วมงานกันอย่างครึกครื้น

แต่มีโต๊ะหนึ่งที่มีนักธุรกิจคนหนึ่ง ได้นั่งกับลุงชาวชนบทมีอาชีพเลี้ยงหมู ก่อนรับประทานอาหารแกได้เริ่มหลับตาอธิษฐานขอบคุณพระเจ้าที่ประทานอาหารให้ พอนักธุรกิจเห็นเข้าก็หัวเราะดังลั่นและพูดว่า “ลุงไม่ทันสมัยเสียเลย มาเชื่อเรื่องบ้าบอ ขอบคงขอบคุณอะไรกัน อย่าทำตัวเคร่งศาสนามากเลย” แต่พอลุงอธิษฐานเสร็จก็หันมาที่นักธุรกิจแล้วพูดว่า “พ่อหนุ่มเจ้าต้องมีจิตสำนึกที่ถูกต้องกับพระเจ้า คิดถึงพระคุณของพระองค์ ขอบคุณที่ทรงประทานอาหารให้ อย่าให้เหมือนหมูที่บ้านลุงเลย เวลาเอาอาหารให้มัน มันก็ยังไม่ขอบคุณลุงเลย”

บางครั้งเรามักลืมขอบคุณพระเจ้า ไม่ว่าสภาพเช่นไร จงขอบคุณทุกกรณี นี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า ในเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่สามารถเข้าใจได้ สับสน แต่ขอให้ขอบคุณเถิดครับ เพื่อจะได้ไม่เสียใจภายหลัง ที่บ่นไปแล้วแต่ว่าผลแห่งปัญหาอุปสรรคกลับกลายเป็นพระพรตามมา

ในปี 1981 ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังศึกษาอยู่ในช่วงกลางเทอม รู้สึกว่าตัวเองปวดศีรษะมาก ขณะเรียนจึงไปตรวจสายตา ซึ่งทางร้านบอกว่าต้องตัดแว่น เพราะตาด้านซ้ายเอียง แต่ด้านขวาสั้น ข้าพเจ้าไม่ยอมตัดแว่น พอกลับมาถึงที่พักก็ได้อธิษฐานขอต่อพระเจ้า ให้พระองค์รักษา และไม่อยากใส่แว่นด้วย บุคลิกคงไม่ให้ และไม่มีเงิน อีกทั้งไม่ชอบด้วย แต่รู้สึกว่ามันยิ่งเจ็บมากขึ้นทุกวัน จนสัปดาห์ต่อมา ผมจึงจำยอมด้วยความขมขื่นที่ต้องตัดแว่นใส่

จนต่อมาปี 1983 ปลายเดือนมีนาคมขณะที่ข้าพเจ้านั่งรถเมลล์ไม่รู้ว่าวันนั้นคิดอะไร ไปนั่งหน้าสุดใกล้คนขับ พอรถแล่นไปถึงหน้าโรงแรมนารายณ์แถวสีลม ยังไม่ทันตั้งตัวเลยครับ เสียงกระจกดัง “เปรี้ยง” เศษกระจกกระเด็นติดหู ติดผมของผม เต็มไปหมดเพราะรถเมล์ชนกับรถกระบะคันหน้าเข้าแล้ว ขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าใส่แว่นตา มันช่วยไม่ให้เศษกระจกเข้าตาผมเลย มันน่าดีใจจริงๆ ผมรีบขอบคุณพระเจ้าใหญ่เลยครับ ที่พระองค์ให้มีแว่นตาช่วยป้องกันเศษกระจกมากมายได้

แต่ก็มีเรื่องน่าเสียใจที่ว่าเมื่อ 2 ปีก่อนผมไม่น่าบ่นเลย น่าจะขอบคุณพระเจ้าตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว นี่แหละนะความผิดพลาดที่ไม่ยืนหยัดในพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า … จงขอบคุณทุกกรณี ท่านขอบคุณพระเจ้าในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหรือยังครับ จงเริ่มต้นขอบคุณพระเจ้าเถิดครับ แล้วสันติสุขของพระเจ้าจะคุ้มครองจิตใจ เพราะพระองค์มีแผนการณ์ที่ดีสำหรับลูกของพระองค์

เรียบเรียง โดย เจริญ ยธิกุล

วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553

เมื่อท่านประสบความสำเร็จ

เมื่อท่านประสบความสำเร็จ

อีกไม่กี่เดือนก็จะสิ้นปีแล้ว แปดเดือนที่ผ่านมาบางคนอาจจะคิดว่าตนเองทำงานยังไม่เต็มที่, ไม่เป็นที่น่าพอใจ, ไม่ค่อยตรงเป้าเท่าไร อาจเกิดความท้อแท้ อยากเปลี่ยนงานที่ทำให้เจริญมากยิ่งขึ้น แต่ตรงกันข้าม บางท่านอาจรู้สึกพึงพอใจในผลงานของเดือนที่ผ่านมา และบางท่านอาจไม่ค่อยชอบงานที่ทำก็ได้ ใช่ไหมครับ…

มีคำกล่าว่า “จงหางานที่เรารัก ไม่ก็ให้รักงานที่เราทำ” สนุกกับมัน ทำความเข้าใจกับมัน ค้นหาประโยชน์ พระพร และคุณค่าของงานที่เราทำ แน่นอนหากเราเข้าใจจุดนี้ เราจะสามารถขอบพระคุณพระเจ้าได้เสมอ ขณะที่เราทำงาน ยังไง วันนี้ให้เรามาคิดถึงคุณค่าของความคิด ท่าทีที่มีต่อการทำงาน และการรับใช้ของเราสัก 3 ข้อ ซึ่งจะทำให้เราเข้าใจ และช่วยท้าทายในการดำเนินชีวิตในปีใหม่นี้

1. มันเป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้นเอง
อย่ายึด หรือภูมิใจ ติดกับความสำเร็จที่ผ่านมามากเกินไป ให้ตระหนักว่ามันเป็นเพียงก้าวแรกแห่งการเริ่มต้นในงานที่ยิ่งใหญ่ ที่เราต้องพบอีกในภายหน้า มีคนถามธอร์วาลเซน ปฏิมากรผู้มีชื่อเสียงชาวเดนมาร์กว่า “คุณคิดว่างานชิ้นไหนครับที่เป็นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคุณ” เขาตอบทันทีว่า “ยังไม่ได้ทำครับ ผมคิดว่าชิ้นต่อไปนี้แหละ” เปาโลยึดถือเสมอว่า “ข้าพเจ้าไม่ถือว่า ข้าพเจ้าได้ฉวยไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำอย่างหนึ่งคือลืมสิ่งที่ผ่านพ้นมาแล้วเสีย และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า” (ฟป.3:13)

2. ทุกอย่างมีวาระ
“แต่วาระและโอกาสมีมาถึงเขาทุกคน” (ปญจ.9:11) ใช่ว่าเราจะตกต่ำ ผิดพลาด ผิดหวังตลอดไป แต่ให้เราเตรียมพร้อมที่พบกับความสำเร็จที่จะมาถึงเช่นกัน ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้จักชายคนหนึ่ง เขาประกอบธุรกิจล้มเหลวในปี 1831, พ่ายแพ้การเลือกตั้งปี 1832, ธุรกิจล้มเหลวอีกในปี 1833, ได้รับเลือกเข้าสภาปี 1834, คนรักตายปี 1835, เป็นโรคประสาทเสื่อมปี 1836, พ่ายแพ้การเลือกตั้งเป็นประธานสภาปี 1838, ไม่ได้เข้ารับเลือกตั้งปี 1840, ไม่ได้เป็นพนักงานที่ดินปี 1843, ได้รับเลือกตั้งเข้าสภาคองเกรสปี 1845, ไม่ได้เลือกเข้าสภาซีเนตปี 1855, ไม่ได้เป็นรองประธานาธิบดีปี 1856, แต่ต่อมาในปี 1860


บุรุษผู้นั้นคือ อับราฮัม ลินคอล์น ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาครับ 30 ปี แห่งความอดทน เพียรมานะ พยายามและรอคอย อย่าคิดว่าหมดหวัง พระเจ้าไม่อวยพร โมเสสเองซึ่งเป็นผู้รับใช้พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่และสัตย์ซื่อ กว่าจะเป็นผู้ทำงานใหญ่ได้ ต้องไปเลี้ยงแกะถึง 40 ปี

3. อย่าลืมความยินดี
สมัยที่มาร์ติน ลูเธอร์ยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านเป็นคนที่มีใบหน้าเศร้าหมองมาก เนื่องจากการต่อสู้เพื่อความเชื่อของท่านและถูกต่อต้าน” ภรรยาของท่านได้เห็นท่านมีใบหน้าเศร้าหมองอยู่ตลอดเวลานั้น วันหนึ่ง เธอจึงแต่งชุดดำ ลูเธอร์จึงถามเธอว่า “ทำไมเธอจึงแต่งชุดดำ” เธอตอบว่า “เธอไว้ทุกข์ให้กับพระเยซู เพราะพระองค์ตายเสียแล้ว” ลูเธอร์ตกใจมาก กล่าวตอบว่า “พระเยซูทรงพระชนมอยู่ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า เธอควรจะปิติยินดีต่างหาก” ภรรยาท่านจึงตอบว่า “แล้วทำไมใบหน้าของเธอจึงเศร้าหมองนัก เหมือนกับว่าพระเยซูตายเสียแล้ว” ลูเธอร์คิดได้ จากนั้นท่านก็เปลี่ยน มีใบหน้าที่สดใสและเต็มไปด้วยความหวัง เพราะพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่ และช่วยเราได้ในทุกสิ่ง

“จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าของย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด” (ฟป.4:4)

วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ความกังวลและความกลัวความ ตอน 3 สาเหตุและการมีชัยชนะมาจากอะไรล่ะ ?

ความกังวลและความกลัวความ ตอน 3
สาเหตุและการมีชัยชนะ มาจากอะไรล่ะ ?

เป็นได้ว่าในวัยเด็ก ครอบครัวเน้นพิสูจน์โดยการกระทำ แข่งขัน และเปรียบเทียบกันและกันในหมู่พี่น้อง หรือเขากับเพื่อน หรือถูกเลี้ยงดูด้วยการข่มขู่ เพื่อแลกความรักจากครอบครัว

ประการที่ 1 ผู้ทำพันธกิจ ต้องมีความรักมาก ๆ อดทนให้กำลังใจมากๆ แก่ผู้รับการเยียวยา โดยหาสาเหตุ รากที่มาจากความกลัว และอธิษฐาน ปฏิเสธตัดความสัมพันธ์กับรากนั้น อีกทั้งยกโทษแก่ผู้ที่ทำให้เขามีอาการเช่นนี้ การยกโทษเป็นการปลดล็อค พระพรฝ่ายวิญญาณด้วยเช่นกัน และโดยนำความโกรธ เกลียด จนนำไปสู่รากความกลัวไปที่กางเขน

ประการที่ 2 แสดงความรัก ไม่ใช่การข่มขู่ไม่ให้กลัวอีก และการสัมผัสอย่างเหมาะสม (ควรเพศเดียวกัน) และบอกถึงโทษมหันต์จากความกลัวจากพระคัมภีร์ และบอกกล่าวถึง ความรักของพระเจ้า ท่องพระสัญญาจากพระเจ้าว่าไม่ต้องกลัวกังวลอีก

ประการที่ 3 อธิษฐานปลดปล่อย ความกลัว กังวล หรือบางคนมีราก กรรมพันธุ์จากบรรพบุรุษ ให้อธิษฐานจัดการกับความสัมพันธ์นั้น ๆ เสีย

ประการที่ 4 ให้เขามั่นใจว่าเขาสามารถเป็นตัวเขาเองได้ โดยเขาจะได้รับความรักเพราะเขาเป็นเขา ไม่ใช่เพราะเขาพยายามจะทำ เพราะเขาเป็นลูกพระเจ้า มีสิทธิทุกอย่าง

ประการที่5 บทเพลง วรรณกรรมใหม่ที่เขาควรอ่าน เพื่อสร้างรากฐานกำลังใจ

ประการที่ 6 บอกเขาว่า ไม่ต้องกลัวที่จะปกป้องตัวเองจนเกินไป ในคำวิจารย์ หรือความผิดพลาด เพราะทุกคนย่อมมีการพลาด และยังมีส่วนดี ๆ อื่น ๆ ที่เรายังมี ที่หลากหลายคน ยอมรับท่านได้ หรือห้ามจินตนาการเกินเรื่องความเป็นจริง

ประการที่ 7 อธิษฐานขอ เรียกปลุกจิตใจและจิตวิญญาณแห่งชีวิต และกำลังใจใหม่ หลีกเลี่ยงคุย สนทนากับคนที่พูดเรื่องเศร้า ลบ ๆ หรือเรื่องหดหู่ใจ

ประการที่ 8 ท่องภาวนาอยู่เสมอในพระสัญญา เพราะว่ามันจะเป็นจริง
ฝึกดำเนินในความจริง ท่องภาวนา 2ทิโมธี 1:7 เพราะว่าพระเจ้ามิได้ทรงประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ทรงประทานจิตที่กอปรด้วยฤทธิ์ความรัก และการบังคับตนเองให้แก่เรา (นั่นย่อมหมายถึงเราต้องฝึกคิด กล้า ที่จะไม่กลัว และเมื่อมีการให้อธิษฐานตัดความสัมพันธ์เอา ความรู้สึกกลัวไปตรึงเสียที่กางเขน และท่อง ๆ ๆ ๆ พระสัญญา ความจริงของพระเจ้า)

ยอมรับ ความจริงของพระเจ้ามากกว่าความรู้สึก หรือสถานการณ์ ท่อง อ่าน 1เปโตร 5:7 จงละความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงห่วงใยท่านทั้งหลาย



ข้อคิด

• ไดว คี ไอเซนฮาว กล่าวว่า 'ข้าพเจ้าไม่ยอมใช้คำว่า วิตกกังวลอย่างเด็ดขาด'
ผมจึงอยากจะหนุนใจให้กลัวอย่างหนึ่งคือ ขอให้สิ่งที่ท่านกลัว คือ การทำบาป อย่างอื่นไม่ต้องกลัว ผิดเริ่มใหม่ ล้มแล้วลุก คนเราคบกันอยู่ที่ใจ ไม่ได้ที่ผลงานหรือต้องพิสูจน์ในความรัก ขอให้ดำเนินด้วยความจริงใจไปอย่างธรรมชาติ เพราะทุกสิ่งต้องใช้เวลา

ชีวิตของเราควรเชิดหน้า ต่อสู้กับพายุที่โหมกระหน่ำ ยิ้มเข้าไว้

ความกังวลและความกลัวความ ตอน 2 อาการพื้นฐานของคนมีความกลัวมีอะไรบ้าง

ความกังวลและความกลัวความ ตอน
อาการพื้นฐานของคนมีความกลัวมีอะไรบ้าง

1 มีบุคลิกที่จะพิสูจน์ตัวเองสูง กลัวจะไม่เป็นที่ยอมรับ หรือล้มเหลว เลยกลายเป็นคนที่สมบูรณ์แบบเลยก็ได้

2.เป็นคนประเภทมีความคิดซ้ายกับขวา หรือดำกับขาว เท่านั้น มีวิธีการเดียวในการแก้ปัญหา ซึ่งแท้จริงแล้วผมได้อ่านบทความคอลัมหนึ่งนานมาแล้ว และบันทึกไว้ ได้กล่าวว่า ความกังวล ความกลัวที่เกิดขึ้น แท้จริงแล้วอาจไม่มีอะไรเลย เพราะ

• 40% วิตกเรื่องที่ไม่มีวันเกิดขึ้น
• 35% เปลี่ยนแปลงได้
• 15% ดีกว่าที่คาดไว้
• 8% เรื่องจุกจิกไร้สาระ
• 2% กังวลเรื่องที่สมควร


3. ลักษณะนิสัย ชอบจินตนาการหรือแต่งเดิม จนความกลัวปะทุมากกว่าเหตุการที่เป็นจริง

4.อาจเป็นคนแบกภาระหนักไปเลย เพราะกลัวจะล้มเหลว ไม่สำเร็จ ไม่เป็นที่ยอมรับ และจะไม่สำเร็จ และทำให้ชีวิตตรึงเครียดไปโดยไม่รู้ตัว

ความกังวลและความกลัว ตอนหนึ่ง ระดับของความกลัว

ความกังวลและความกลัว ตอนหนึ่ง ระดับของความกลัว

เราแต่ละคนสามารถต่อสู้กับความกลัวได้ต่างกัน บางคนก็ฟันฝ่าได้อย่างง่ายดาย บางคนก็ฟันฝ่าด้วยความยากลำบากแสนเข็ญ

ความกลัวความกังวล ในบางปัญหา เกิดจากสารอะดรีนาริน หรือไทรอยด์ ซึ่งเกิดจากการกินคาเฟอินมากเกินไป หรือการกินยาลดความอ้วน หรือผลข้างเคียงจากยาตัวอื่น ๆ ซึ่งไปทำลายหูชั้นในและก่อสารเคมีที่ไม่สมดุลย์ในร่างกาย กรณีนี้ต้องไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทำบำบัด เยียวยา ควรต้องพึ่งแพทย์ร่วมกับการทำการรักษาคู่กับจิตใจ

แท้จริงแล้ว ความกลัวมี สามระดับ

ระดับ 1 ความกลัวเรื่องทั่วไปเกี่ยวกับชีวิต

ระดับ 2 ความกลัวที่ปะทุขึ้นทันที จากสถานการณ์ใดสถานการณ์หนึ่ง ตัวเย็น สั่น ช็อค หรือ เวียนหัว เป็นลมฯลฯ

ระดับ 3 ความกลัวแบบสับสน คือ เกิดอาการต่อเนื่องไม่ยอมหยุด

ระดับที่ 2 น่าจะต้องรับการบำบัดเยียวยาหากมีอาการทุกครั้ง และระดับที่ 3 อาจต้องพึ่งแพทย์ ช่วยเหลือด้านยาควบคู่กันไป

วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

หัวใจพ่อ ตอน เหตุผลที่พ่อรักเรา

หัวใจพ่อ ตอน เหตุผลที่พ่อรักเรา

ในตอนนี้อยากจะบอกว่าหลายคนอาจไม่เคยมีความสัมพันธ์ หรือได้รับความรักจากพ่อที่อยู่ในโลก หรืออาจบาดเจ็บ หรือไม่เคยได้รับการแสดงความรัก การปกป้องอย่างเหมาะสม เลยอยากแบ่งปันบทความซึ่งนำมาจากหลาย ๆ แหล่ง จากพระวจนะของพระเจ้า มาให้ท่านได้อธิษฐาน เพื่อให้รู้ว่าพ่อที่เป็นพระเจ้า ไม่เคยเป็นเหมือนพ่อที่อยู่ในโลก ดังที่ท่านเคยเข้าใจ มีทั้งหมด 26 ข้อเป็นอย่างน้อยนะครับ

แท้จริงคำว่าพระบิดาเป็นคำราชาศัพท์ ในสังคมไทย อาจฟังไกลจากเรามาก เพราะประเพณี ของเรา ศัพท์ต่าง ๆ บ่งบอกถึงความแตกต่างห่างไกลกันมาก เช่น ชนชั้นสูงกับชาวบ้านแบบเราๆ ในพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษ ไม่มีราชาศัพท์ ในคำว่าพ่อตรง ๆ เลยนะครับ ทำให้ฝรั่งเข้าใจพระเจ้าเป็นพ่อที่ใกล้ชิดดีกว่าเรา ผมจึงอยากบอกว่า ท่านลองเรียกพระเจ้า ว่าพ่อตรง ๆ เลย ท่านจะมีความรู้สึกที่เปลี่ยนไปกับการสนทนากับพระองค์

1. ไม่มีวันที่พ่อไม่รักลูก พระองค์ทรงรักความรักนิรันดร์ ( ยน. 3:16 )
2.พ่ออยากแสดงความรักอบอุ่นแก่เรา เพราะพระเยซูมาเพื่อสำแดงพ่อในสวรรค์ ( ยน. 16: 27)
3. พ่อ ชอบที่จะอยู่กับลูก ( ยน 14: 23)
4. พ่อ รักเรามากเท่าพระบุตร ( ยน 17: 23)
5.แม้ความผิดพลาด ไม่สมบูรณ์ไม่สามารถแยกเราจากความรักพ่อได้ ( โรม 8: 38-39)
6.แม้ลูกทำบาป พ่อยังคงเคียงข้างลูกพร้อมกับพระเยซูคริสต์ ( อฟ 2: 4-6)
7.ในยามต่ำต้อยมีบาดแผลพระองค์ทรงมองลูกสวยงามและชื่นชม ( สดดง 149: 4, ซลม 1:15-16)
8.พ่อดีต่อลูกเสมอและเต็มด้วยความหวังในลูก ( ยรม. 29: 11)
9.ความรักที่เรามีต่อพระองค์ทำให้พระองค์ยินดี มีความสุข ( ซลม 4: 10)
10.พระคริสต์ไม่ละอายในลูก และพ่อก็เช่นกัน ( ฮบ. 2:11 ,11: 16)
11.พ่อไม่จดจำบาปลูกอีกต่อไป ยกโทษหมดแล้ว ( ยรม. 31: 34)
12.ทรงเหยียบความบาป เหวี่ยงไปในทะเลลึก ( มีคาห์ 7: 19)
13.ทรงไถ่ลูกมาจากความมืดบาปแล้ว มาอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า ( คส 1:13-14,1ยน 1: 9)
14.พ่อเรียกเราว่าลูก ( ยน 1: 12)
15.ทรงเปรียบดังเป็นเพื่อน ( ยน 15: 15)
16. เปรียบเสมือนลูกไม่เคยทำบาป (รม.5: 1)
17 พ้นจากการกล่าวโทษ เป็นอิสระชั่วนิรันดร์ ( รม. 8:1-2 ) พระเจ้าไม่กล่าวโทษ
18.พ่ออยู่ฝ่ายลูกไม่อยู่ฝ่ายตรงกันข้าม ( รม. 8:31 )
19.ลูกจะพบพระกรุณาในเวลาที่เจ็บปวด ( ฮบ. 4:16 )
20.ความรักของพระองค์สมบูรณ์ขับไล่ความกลัวออกไป ( 1ยน. 4:18 )
21. พระเยซูมาช่วยไม่ใช่เพื่อพิพากษา (ยน. 12: 47)
22.พ่ออยากให้คะแนนเต็มด้วยความรักพระองค์ ( อฟ 3: 19)
23.พ่อพึงพอใจในลูกไม่ทอดทิ้งและอยากตอบสนองความต้องการทุกอย่างในชีวิต ( ลก. 15: 31)
24.ทรงให้ความครบบริบูรณ์ ( คน. 2:10 )
25.เติมด้วยฤทธิ์ ความรัก จิตสำนึกใหม่ให้เรา ( 2ทธ1: 7)

ลูกมีค่าต่อโลกนี้ คุณมีคุณค่ามาก
1) ลูกอยู่เพื่อฉายแสงแก่พระองค์ในโลก ( มธ 5: 13-14)
2) ลูกอยู่เพื่อจะเป็นพยานถึงพระองค์ในโลกนี้ ( กจ. 1:8 )
3) โลกนี้จะคืนดีกันกับพระองค์เพราะลูก (1คร. 9:18)
4) ลูกทำทุกสิ่งได้โดยพระองค์ ( ฟป 4: 13)

หัวใจพ่อ ตอน พ่อกับผู้มีสิทธิอำนาจที่สัมพันธ์กัน

หัวใจพ่อ ตอน พ่อกับผู้มีสิทธิอำนาจที่สัมพันธ์กัน

สวัสดีครับ ผมไม่ได้เขียนบล็อกมานานเลย เพราะช่วงหลังไปเตรียมตัวเขียน สคริปต์ เพื่อการสอน พระคัมภีร์ หรือถามตอบเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตทุกเช้า ในสถานีวิทยุออนไลน์ http://www.radio.james7.org/ เวลา 09.00-10.00 น .เดี๋ยวนี้ก็ลงตัวแล้ว มีดีเจจากสี่ภาค และ ครบถ้วน ส่วนเรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับการเยียวยา ก็มีมากมาย ที่ต้องเขียน จะค่อย ๆ คุยกับพี่น้องไปตลอดนะครับ

วันนี้อยากจะคุยเรื่องหัวใจพ่อ หลายคนคงถามว่ามันเกี่ยวกับการเยียวยาอย่างไร ? แน่นอนครับ เพราะปัญหาส่วนใหญ่อยู่ที่การเลี้ยงดู การรับการสัมผัส คำพูดที่แสดงว่าเรามีตัวตนในบ้าน การมีสิทธิในการสำแดงตัวว่าเป็นลูกที่รักของพ่อ มันล้วนมีผลต่อเราเมื่อมาเชื่อพระเจ้า เพราะพ่อเป็น ตัวแทนสิทธิอำนาจในบ้านและชีวิตของเรา หากเราไม่เคยได้รับความรัก การสัมผัส การแสดงออก และการกระทำที่ถูกต้องจากพ่อ เมื่อเรามาเชื่อในพระเยซูคริสต์ ผู้เป็นทั้งพระเจ้าและพ่อ เราอาจมีความสัมพันธ์ ในความเชื่อ และความวางใจในพระองค์ไม่สนิทใจ เช่น เมื่อเราถูกสอนว่าพระจ้าเป็นดังพ่อ พ่อรักเรามาก เราก็อาจจะงงว่ารักแบบไหน เพราะเราไม่เคยสัมผัสกับความรักสมบูรณ์ของคุณพ่อในโลกนี้เลย

เห็นหรือยังครับว่ามันเป็นอะไรที่เราคิดไม่ถึง และอาจรับความรักจากพระเจ้าหรือไม่ค่อยเชื่อใจในพระองค์เต็มที่ เพราะพ่อจะเหมือนพ่อของเราหรือเปล่า ลึก ๆ ในใจเราเคยมีประสบการณ์กับพ่อในโลกเป็นอีกแบบหนึ่ง

ปัญหาอีกอย่างที่เราอาจเจอ ท่านลองสังเกตตัวเองว่าท่านเคยมีปัญหากับผู้มีสิทธิอำนาจ ความกลัว ไม่ไว้วางใจหรือปฏิบัติต่อคนเหล่านี้แบบเคยมีความรู้สึกกับพ่อทางกายภาพไหม เพราะ หัวหน้างาน หรือโดยเฉพาะศิษยาภิบาลเป็นตัวแทนของสิทธิอำนาจ หรือพ่อฝ่ายวิญญาณ เลยทำให้ความสัมพันธ์ของเราไม่ราบรื่นดีนัก

สุภาพสตรีบางคนอาจมีปัญหากับสามี เพราะเธอไม่เพียงเรียกร้องความเป็นสามี หลายครั้งเธอลืมตัว เรียกร้องสามีให้ทำบางสิ่งชดเชยให้เธอ ดังเป็นพ่อ สิ่งที่พ่อของเธอไม่เคยให้ ทำให้สามีก็ต้องทำงานหนักไปอีก

ขบวนการเยียวยามีง่าย ๆ ครับ สำหรับผมที่เยียวยามาหลายคน หนึ่ง ให้คน ๆ นั้นสารภาพบาปที่ได้โกรธ ขมขื่นต่อพ่อ สอง ให้เธอประกาศการยกโทษแก่คุณพ่อ ที่ได้กระทำบางสิ่งที่เธอหรือเขา ฝังใจเจ็บ และเราต้องเข้าใจนะครับ เพราะพ่อที่เป็นมนุษย์ ก็เป็นคน ๆ หนึ่ง มีข้อผิดพลาดได้

ส่วนที่สาม หาคนที่เป็นผู้ใหญ่ มีอายุ หรือศิษยาภิบาลอธิษฐานเผื่อ เป็นตัวแทนคุณพ่อในโลก ที่ทำผิด หรือละเมิดกับเขา จากนั้น เมื่อทำพันธกิจเสร็จ ผู้รับการทำพันธกิจก็ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ หากเป็นได้ กลับไปคืนนี้ทำความดีกับพ่อในฐานะที่เป็นลูกพระเจ้า เพื่อจะได้ไปดีมาดี ตามพระสัญญา

วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Worship song - Revival, Robin Mark

Revival
Robin Mark




1. As sure as gold is precious and the honey's sweet
So You love this city and You love these streets
Every child out playing by their own front door
Every baby laying on the bedroom floor
Every dreamer dreaming in their dead-end job
Every driver driving through the rush hour mob

I feel it in my spirit; feel it in my bones
You're going to send revival, bring them all back home
I can hear that thunder in the distance
It's like a train on the edge of the town
I can feel the brooding of Your Spirit
Lay your burdens down
Lay your burdens down

2. From the preacher preaching when the well is dry
To the lost soul reaching for a higher high
From the young man working through his hopes and fears
To the widow walking through the veil of tears
Every man and woman; every old and young
Every father's daughter; every mother's son

I feel it in my spirit; feel it in my bones
You're going to send revival, bring them all back home
I can hear that thunder in the distance
It's like a train on the edge of the town
I can feel the brooding of Your Spirit
Lay your burdens down
Lay your burdens down

Chorus
Revive us, revive us
Revive us with Your fire

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Worship song - Offering, Paul Baloche

Offering
Paul Baloche




ตะวันไม่อาจบรรยาย ในความรักประเสริฐพระองค์ ความมืดมิอาจดำรงค์ หน้าพระพักตร์
The sun cannot compare to the glory of Your love
There is no shadow in Your Presence

คนบาปไม่อาจตระหนัก ยืนต่อหน้าที่พระบัลลังก์ องค์บริสุทธิ์ผู้เดียวแห่งสวรรค์
No mortal man would dare to stand before Your throne
Before the Holy One of Heaven

โดยโลหิตพระคริสต์ ชีวิตรับชำระด้วยเมตตา ข้าจึงมา
It's only by Your Blood and it's only through Your mercy, Lord, I come

Chorus
ข้านำการนมัสการถวายแด่กษัตรา ชนชาวโลกาไม่อาจ ร้องเพลงที่ข้าสรรเสริ
I bring an offering of worship to my King
No one on earth deserve the praises that I sing

พระคริสต์องค์เดียว ที่ทรงสมควรรับการเทิดทูน พระเจ้าข้าขอถวายเพียงแด่พระองค์
Jesus, may You receive the honor that You're due
O, Lord, I bring an offering to You

Worship song - Thank you lord, Don Moen

Thank you Lord - Don Moen



I come before you today
And there's just one thing that I want to say
Thank you Lord,Thank you Lord

For all you've given to me
For all the blessings I can not see
Thank you Lord,Thank you Lord

With a greatful heart, with a song of praise
with an outstreched arm, I will bless your name

Thank you Lord,I just want to thank you Lord
Thank you Lord,I just want to thank you Lord
Thank you Lord

For all you've done in my life
You took my darkness and gave me your light
Thank you Lord,Thank you Lord

You took my sin and my shame,
You took my sickness and healed all my pain
Thank you Lord,Thank you Lord

With a greatful heart, with a song of praise
with an outstreched arm, I will bless your name

Thank you Lord,I just want to thank you Lord
Thank you Lord,I just want to thank you Lord

Thank you Lord,I just want to thank you Lord
Thank you Lord,I just want to thank you Lord

KEY CHANGE
Thank you Lord,I just want to thank you Lord
Thank you Lord,I just want to thank you Lord

Thank you Lord,I just want to thank you Lord
Thank you Lord,I just want to thank you Lord
Thank you Lord

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Worship - When it's all been said and done



When it's all been said and done
Robin Mark

When it's all been said and done
There is just one thing that matters
Did I do my best to live for truth?
Did I live my life for you?

When it's all been said and done
All my treasures will mean nothing
Only what I have done
For love's rewards
Will stand the test of time

Lord, your mercy is so great
That you look beyond our weakness
That you found purest gold in miry clay
Turning sinners into saints

I will always sing your praise
Here on earth and in heaven after
For you've joined me at my true home
When it's all been said and done
You're my life when life is gone.

Worship - What the lord has done in me



What the Lord has done in me
Hill Song

Let the weak say, "I am strong"

Let the poor say, "I am rich"

Let the blind say, "I can see"

It's what the Lord has done in me



Let the weak say, "I am strong"

Let the poor say, "I am rich"

Let the blind say, "I can see"

It's what the Lord has done in me



Hosanna, hosanna

To the Lamb that was slain

Hosanna, hosanna

Jesus died and rose again



Hosanna, hosanna

To the Lamb that was slain

Hosanna, hosanna

Jesus died and rose again



To the river I will wade

There my sins are washed away

From the heavens' mercy streams

Of the Savior's love for me



I will rise from waters deep

Into the saving arms of God

I will sing salvation songs

Jesus Christ has set me free



Hosanna, hosanna

To the Lamb that was slain

Hosanna, hosanna

Jesus died and rose again



Hosanna, hosanna

To the Lamb that was slain

Hosanna, hosanna

Jesus died and rose again



Hosanna, hosanna

To the Lamb that was slain

Hosanna, hosanna

Jesus died and rose again



Let the weak say, "I am strong"

Let the poor say, "I am rich"

Let the blind say, "I can see"

It's what the Lord has done in me

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ความเครียด

ความเครียด

ช่วงนี้ทางเว็บกำลังเริ่มสถานีวิทยุออนไลน์ โดยผมจะสอนตอน 09.00-10.00 น. และ บ่ายสี่โมงจะนำคำสอนเรื่องเกี่ยวกับการเยียวยามาเปิดให้ฟัง ท่านสามารถเข้ามาฟังได้ในสถานีวิทยุออนไลน์ 24 ชั่วโมงของเรา เพื่อการพักผ่อนฝ่ายจิตวิญญาณครับ http://radio.james7.org/ ฝากท่านช่วยส่งข่าวต่อๆ กันไป และหากทางคริสตจักร หรือองค์กรของท่านต้องการประชาสัมพันธ์งานใดๆ ก็พิมพ์ในเว็บบอร์ด ฝากดีเจ ประชาสัมพันธ์ให้ได้เป็นระยะครับ

วันนี้จะมาคุยเรื่องอาการของความเครียด ซึ่งไม่มีใครปฏิเสธได้แน่นอนใช่ไหมครับ ในพระธรรม 1พกษ19:4 "ข้าพระองค์อยากตาย" เป็นอาการของเอลียาห์ในตอนนี้ เมื่อได้ยินนางเยเซเบลประกาศว่า หากไม่ได้สังหารเอลียาห์ที่ได้ขัดผลประโยชน์ของนาง ในการที่เอลียาห์สังหารคนที่นางเลี้ยงดูไว้คือพวกพระบาอัล ทำให้นางเยเซเบลอับอายยิ่งนัก เพราะเอลียาห์กำลังจะรับผลที่เป็นศัตรูต่อความเชื่อของพระเจ้าชาวอิสราเอล เมื่อเอลียาห์ได้ยิน ท่านก็เครียด จนอยากจะตาย

แท้จริงเราแต่ละคนมีความสามารถรับต่อสถานการณ์ในความเครียดต่างกันไป บางคนอาจจะปั่นป่วนในท้อง บางคนอยากกรีดร้องออกมาดังๆ หรือตัวสั่น ทำอะไรไม่ถูก หรือระเบิดอารมณ์นั้นออกมาโดยไม่รู้ตัว หรือบางคนเริ่มนอนไม่หลับ หรือบางคนไม่อยากตื่นขึ้นมาเลยในยามเช้า

ความเครียดมาจากไหน
1.ความเครียดเกิดขึ้นมาจากหลายทาง ซึ่งอาจจะมาจากโดยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนคิดมาก หรือมีนิสัยคิดไปเอง

2.ประสบการณ์ในวัยเด็กที่ถูกวางรากฐานมาไม่ดีนัก จากการเลี้ยงดู ถูกกดดัน เรียกร้อง ถูกเปรียบเทียบในวัย
เด็ก

3.บางคนเกิดความเครียด เพราะจากการทุ่มเท ผูกพันตัวเองกับงานหรือบางคน และนิสัยการกระทำของผู้นั้น เริ่มกดดันเรา

4.บางคนอาจไปรับผิดชอบบางอย่างที่ไม่ถนัด และเลี่ยงไม่ได้

5. เป็นไปได้อีกทางคือ สมาชิกในครอบครัวที่มีปัญหา ความขัดแย้งกันภายในครอบครัว

6. นิสัยขี้เกรงใจ หรือชอบรับอาสา เกินกำลัง ไม่กล้าปฎิเสธ เพราะกลัวเสียสัมพันธ์ และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมายครับ

วิธีแก้ไข ความเครียดเบื้องต้น

1. ต้องคิดอย่างสมเหตุสมผลว่า มนุษย์ทุกคนล้วนมีปัญหา บางอย่างเราแก้ได้ บางอย่างเราแก้ไม่ได้ พระเจ้าจะช่วยแก้ พระองค์ไม่ทิ้งเราแน่นอน

2. หาแรงหนุน การผ่อนคลาย เอาลมที่อัดใส่ในลูกโป่งใกล้จะแตกออก โดยการได้ขอคำปรึกษาและระบายกับใครสักคนที่รับความรู้สึกคุณได้ แต่ไม่ใช่ทุกคน เพราะคำว่าเพื่อนเกิดขึ้นต้องใช้เวลา

3. รู้จักปฎิเสธบ้าง ผู้อื่นรวมถึงงานที่ตัวเองรู้สึกไม่พร้อมก็อย่ารับ และรู้ว่าต้องพอแค่ไหน

4. บุคลิคก็สำคัญ หากรู้ว่าเราเป็นคนเครียดง่าย คิดมาก ก็เลี่ยงงานหรือคนที่จะทำให้เราเครียด ง่าย

5. เมื่อเกิดอาการเครียด ให้เริ่มอธิษฐานลักษณะ ระบายความในใจต่อพระเจ้า แบบภาษาคนปกติ ตามอารมณ์ที่มีความกดดัน หรือหากท่านสามารถนมัสการได้ก็ร้องเพลงนมัสการ หรือหาเพลง สบาย ๆ ที่ตัวเองชอบฟัง

6. ความสัมพันธ์กับเพื่อนๆ เปลี่ยนบรรยกาศบ้าง โดนเฉพาะพี่น้องคริสเตียน ในคริสตจักร
ฮีบรู 10:25-26 อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาลบบาปนั้นก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย

7. หากเครียดเรื่องไหน อธิษฐานนำเรื่องนั้นไปตรึงที่กางเขนโดยความเชื่อ หรืออธิษฐานท่องภาวนา พระคำพระเจ้า ขอสันติสุขของพระองค์เข้ามาแทนที่ ท่านก็จะมีทางผ่อนคลายได้ระดับหนึ่ง

8. หากท่านแก้เบื้องต้นแล้วยังไม่ดีขึ้น อาการของท่านหนัก อาจต้องรับการเยียวยาหาราก ที่ทำให้มีอาการหนักเช่นนี้ แล้วเราจะคุยกันในครั้งต่อไป ถึงสาเหตุระดับลึกของความเครียด พระเจ้าอวยพรครับ

วันพฤหัสบดีที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2553

เราจะเริ่มทำอย่างไรเมื่อได้ยินคำวิจารณ์

ประการแรก เราต้องทำความเข้าใจคำวิจารณ์ก่อน ไม่ใช่ใส่อารมณ์ในคำวิจารณ์นั้น หลักการก็คือ เอาความคิดด้วยเหตุด้วยผลมาก่อนอารมณ์ ทำความเข้าใจจุดประสงค์ของคำวิจารณ์นั้นว่าเพื่อให้เราปรับปรุง แก้ไขให้ดีขึ้น ไม่ใช่ให้เรารู้สึกแย่ และดังที่ผมกล่าว แยกแยะคำตำหนิด้วยอคติกับคำวิจารณ์ เพราะคำวิจารณ์อาจจะเป็นโอกาสที่ทำให้ได้พัฒนาขึ้นได้อีก เป็นโอกาสให้เราเข้าใจสถานการณ์ หรือมองภาพในมุมที่เรามองไม่เห็น

ประการที่สอง ขอความคิดเห็น การอธิบายจากผู้วิจารณ์ ว่าควรปรับปรุงอย่างไร แทนที่จะโกรธ หรือน้อยใจ โมโห ผู้วิจารณ์ เพื่อเขาจะได้ชี้แนะในจุดที่เรามองไม่เห็น แต่ว่าถ้าคำวิจารณ์นั้นมันไม่ใช่ตัวตนของท่านก็จงเป็นตัวของตัวเอง

ประการที่สาม ถามตัวเอง ทำไมเราจึงเจ็บปวด หมกมุ่นกับคำวิจารณ์นั้นมากเกินไป นั่นหมายถึงเราต้องมีรากบางอย่าง เช่น เราเป็นคนปกป้องตัวเองมากเกินไปไหม เราเป็นคนไม่ยุติธรรมไหม เพราะเราวิจารณ์ผู้อื่น แต่เรากลับยอมรับคำวิจารณ์ไม่ได้ หรือเรามีอคติกับผู้วิจารณ์หรือเปล่า ทั้งหมดเหล่านี้ ให้เราสารภาพบาป และประกาศออกเสียงเบา ๆ ขอปฎิเสธพฤติกรรมเหล่านี้ ขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ ช่วยให้กำลังที่จะอวยพรคนที่วิจารณ์เรา และสร้างวินัยใหม่ ให้ใจกว้าง ยอมรับ สร้างระบบความคิดใหม่ว่าเราต้องใจกว้าง เติบโต และรู้จักขอบคุณผู้วิจารณ์ และยิ่งหากท่านไม่ได้ยินคำวิจารณ์จากปากคนนั้นโดยตรง ลืมไปเลย เพราะจากการเล่าปากต่อปาก อาจมีความจริงเพียงเสี้ยวเดียวเท่านั้น เจ็บจุดไหน แก้วินัยในการคิดจุดนั้นครับ

ประการสุดท้าย สงบ อย่ารีบตอบโต้ หายใจเข้าออกลึก ๆ และขอบคุณพระเจ้า เพราะนั่นหมายความว่ามีคนสนใจ มองเห็นท่าน เห็นค่าในผลงาน การกระทำของท่าน แล้วมันเตะตา แตะใจเขา จึงมีคำวิจารณ์ กระตุ้นให้เขาคิด และห้ามตอบโต้ทั้งด้านคำพูด หรือการกระทำใด ๆ เพราะยิ่งท่านนิ่ง สงบ ความเจ็บปวดก็หายเร็ว ยิ่งท่านดิ้น ตอบโต้ บาดแผลก็จะมากยิ่งขึ้น และเจ็บมากขึ้น เรื่องไม่จบสักที จำไว้ว่า ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู พระเยซูไม่เคยทำผิดกับใครเลย ผ่านมาสองพันปี คนเราทุกวันยังวิจารณ์ปฏิเสธพระองค์เลยครับ

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2553

Worship song - His Glory Appears - Hillsong Faith + Hope + Love



His Glory Appears - Hillsong
Verse:
You gave me hope
You made me whole
At the cross
You took my place
You showed me grace
At the cross where You died for me

Chorus:
And His glory appears
Like the light from the sun
Age to age He shines
Look to the skies
Hear the angels cry
Singing Holy is the Lord

เราจะหลีกเลี่ยงคำวิจารณ์ไม่ได้ แต่จะแก้ความเจ็บปวดจากคำวิจารณ์ได้อย่างไร

เราต้องคำนึงเสมอว่าเมื่อเรารับคำชมได้ ก็ควรรับการกล่าวถึงด้านลบ ได้เหมือนกัน และท่านก็เคยวิจารณ์คนอื่นเหมือนกัน ควรเปิดใจกว้างครับ

คำวิจารณ์มีสองแบบ คือ วิจารณ์เพื่อตำหนิด้วยอคติ ส่งผลต่อจิตใจและการทำงาน อาจเสียความสมดุลก็ได้เลยครับ แต่ก็มีอีกด้านหนึ่ง คือ การวิจารณ์แบบเสริมสร้าง เพื่อให้ข้อคิด สำหรับการปรับปรุง เราก็ควรเปิดใจรับด้วยความยินดี

เราต้อง คิดใหม่ ปรับเปลี่ยนในคำวิจารณ์นั้นเปลี่ยนคำที่ลบ ๆ เป็นข้อบวก ที่จะนำไป แยกแยะและคิดตาม เพื่อก่อเกิดประโยชน์แก่ตัวเอง และทำใจให้กว้าง ว่าที่เขาพูดมีความจริงอยู่บ้างไหม หากมีและใช่ก็จงขอบคุณผู้วิจารณ์ เพื่อ ความสมบูรณ์ กำลังจะเข้ามาแทนที่

หากคำวิจารณ์นั้นไม่เป็นความจริง เราก็ควรอธิษฐาน ประกาศยกเลิกปฎิเสธ ไม่รับ และทำใจให้สบาย ถือว่าเป็นเสียงของคนมีสิทธิพูด แต่เราก็มีสิทธิไม่รับ เพราะเราจะเชื่อในคำพูดที่พระเจ้า พระคัมภีร์พูดเท่านั้น

วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2553

คำพูด 7 ประโยคสุดท้ายของพระเยซูคริสต์บนไม้กางเขนที่มีผลต่อเรา

คำพูดที่ 1. "พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" มธ.27:46
• นี่เป็นชั่วโมงที่เก้าของพระเยซูและพระองค์ทรงร้องออกมาด้วยเสียงอันดัง พระองค์ทรงระบายความรู้สึกของพระองค์ที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้ง เมื่อพระเจ้าทรงนำความบาปของโลกนี้ไว้บนกายของพระองค์และเพราะความบาป สกปรก ทั้งหมดทั้งโลก ความโสโครก ความสกปรกมลทินเหล่านั้น ทำให้พระเจ้าผู้บริสุทธิ์ต้องหันหนีจากพระเยซู เพราะพระเจ้าไม่สามารถทนมองดูได้ ในขณะที่พระเยซูทรงสัมผัสถึงความหนักอึ้งของความบาปที่พระองค์ทรงประสบและทำให้ต้องแยกจากพระเจ้า ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวเท่านั้นในนิรันดร์กาล และนี่เป็นเหตุการณ์ที่ทำให้คำ พยากรณ์ที่มีใน สดด.22:1 สำเร็จ

• ผลจากการที่พระเยซูคริสต์ต้องรับความเจ็บปวดและถูกตัดขาดจากพระเจ้า โดยการรับความบาปของเราไปไว้ที่กายของพระองค์ ด้วยเหตุนี้เมื่อเราสารภาพบาปและขอการยกโทษเรามั่นใจว่าพระองค์ทรงกระทำสำเร็จแล้ว พระเจ้าจะไม่หันหน้าไปจากเราอีก เพราะพระเยซูคริสต์ทรงถูกทอดทิ้งไปครั้งหนึ่งแทนเราแล้ว


คำพูดที่ 2 "โอพระบิดาเจ้า ขอโปรดอภัยโทษเขาเพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร". ลก.23:34
• พระองค์ทรงประกาศการให้อภัยคนเหล่านั้นที่ตรึงพระเยซูที่บนกางเขน พวกเขาไม่เข้าใจภาพรวมทั้งหมดของสิ่งที่พวกเขาได้ทำไป เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระเมสสิยาห์ ถึงแม้ว่าการที่พวกเขาไม่เข้าใจถึงความจริงของพระเจ้า ไม่ได้หมายถึงว่าพวกเขาสมควรได้รับการอภัยโทษ เพราะพวกเขาก็ยังเป็นคนบาปอยู่ดี พระเยซูจึงต้องอธิษฐานเผื่อพวกเขาในขณะที่พวกเขาเยาะเย้ย ล้อเลียนพระองค์ และนี่เป็นภาพของพระคุณของพระเจ้าที่ไม่มีขีดจำกัด แก่ทุกคนในโลกนี้

• ในทำนองเดียวกันพระเยซูคริสต์ทรงอธิษฐานเผื่อเราทุกคนที่ปฎิเสธพระองค์และหันหลังให้พระองค์ หรือทำในสิ่งที่เราไม่สมคสรทำเพียงเรากลับใจใหม่ และหันกลับมาหาพระองค์ อย่าทำให้พระคุณของพระเจ้านั้นเสียเปล่านะครับ

คำพูดที่ 3. "เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม" ลก.23:43
• ภาพในตอนนี้พระเยซูทรงให้ความมั่นใจกับคนที่เป็นโจร อาชญากร บนไม้กางเขนว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว เขาจะได้อยู่กับพระเยซูบนสวรรค์ แน่นอน อาชญากรคนนี้ได้รับสิทธิ์อันนี้เพราะว่าเขามีความเชื่อในพระเยซูและรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด (ลก.23:42)

• และท่านลองคิดดูสิว่าแม้ท่านยังไม่เคยฆ่าคนตาย หรือต้องโทษถูกประหารชีวิตที่กางเขน ท่านจงมั่นใจว่าท่านจะรับการอภัย และเข้าสู่สวรรค์อย่างแน่นอน หากท่านประกาศยอมรับ ว่าท่านเป็นคนผิดบาปจริง ๆ ด้วยความจริงใจ สังเกตุดี ๆ นะครับว่า พระเยซูกล่าวว่าเขาจะรอดเพราะความเชื่อของเขา


คำพูดที่ 4. "พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากวิญญาณจิตของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์" ลก.23:46
• พระคริสต์ทรงแสดงถึงความตั้งใจ และเต็มใจของพระเยซูที่มอบจิตวิญญาณของพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระบิดา เป็นการบอกว่าพระองค์กำลังจะตายและพระเจ้าทรงยอมรับเครื่องถวายบูชาของพระองค์แล้ว "พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ผู้ได้ถวายพระองค์เองแด่พระเจ้าโดยพระวิญญาณนิรันดร์ ให้เป็นเครื่องบูชาอันปราศจากตำหนิ" (ฮบ.9:14)

• เป็นคำอธิษฐานที่เป็นแบบอย่างแก่เราว่า เมื่อเรามอบถวายจิตวิญญาณให้พระเจ้า พระองค์ก็ทรงรับไว้และพระองค์ทรงมิได้ดูถูกจิตวิญญาณที่เจ็บปวด ทรมาน ซึ่งเป็นดังเครื่องบูชาแด่พระเจ้าดังนั้น เมื่อท่านระบาย หรือร้องทูลมอบความเจ็บปวดต่อพระเจ้า พระองค์ทรงรับไว้ และทรงไม่ดูถูกเลยแน่นอน

คำพูดที่ 5. "หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด" และ "จงดูมารดาของท่านเถิด"ยน.19:26,27
• สังเกตให้ดีนะครับว่า คำที่พระเยซูตรัสในขณะที่ทรงมองเห็นพระมารดาของพระองค์ยืนอยู่ที่ใกล้ ๆ กับกางเขนพร้อมกับยอห์นสาวกที่พระองค์ทรงรัก และตั้งแต่นั้นยอห์นก็รับเอานางมารีย์มาอยู่ในบ้านของเขา นี่เป็นการแสดงความรักในฐานะที่เป็นลูกคนหนึ่ง ที่ต้องการให้ความมั่นใจว่าแม่ของพระองค์บนโลกนี้ได้รับการดูแลหลังจากที่ลูกตาย ลูกก็ยังห่วงแม่ พระองค์ไม่ใช่พระเจ้าที่ไม่สนใจคนในโลกนี้เลย

• พระองค์ทรงสนใจชีวิตการกินอยู่ครอบครัวการดำเนินชีวิตในโลกนี้ของท่าน เพื่อให้มีชัยชนะ และมีเสรีภาพเป็นห่วงคนที่ท่านรัก เป็นห่วงสภาพจิตใจของท่านไม่ใช่เป็นห่วงเฉพาะ เรื่องฝ่ายวิญญาณอย่างเดียว เพราะคำพูดนี้เป็นคำพูดที่บ่งบอกชัดแล้วว่าพระคริสต์ สนใจด้านจิตใจคนที่รักด้วยเช่นกัน


คำพูดที่ 6. "เรากระหายน้ำ"ยน.19:28
• พระ เยซูทรงให้คำเผยวจนะใน สดด.69:21 ที่กล่าวว่า "เขาให้ดีหมีแก่ข้าพระองค์เป็นอาหาร ให้น้ำส้มสายชูแก่ข้าพระองค์ดื่มแก้กระหาย" สำเร็จในตอนนี้ เนื่องจากพระองค์ทรงบอกว่าพระองค์ทรงกระหาย ทำให้ทหารโรมันนำน้ำส้มสายชูมาให้พระองค์ ซึ่งเป็นธรรมเนียมในการตรึงกางเขน ดังนั้นคำเผยวจนะจึงได้สำเร็จและเป็นจริง

• หิว กระหาย คำเผยวจนะที่เป็นจริง สรุปง่าย ๆ คือ คำเผยและพระสัญญาเป็นจริง สิ่งที่ พระองค์แสดงให้เราเห็นคือความเป็นมนุษย์ของพระองค์ ว่าทรงหิวกระหาย เหมือนเรา ๆท่าน ๆ ดังนั้น พระองค์ก็จะไม่ทอดทิ้งเราให้ขาดสิ่งจำเป็น อาหาร เพียงแต่แสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าก่อน และพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ครับ (มธ6;33)

คำพูดที่ 7. "สำเร็จแล้ว"ยน.19:30
• ประโยคแห่งประวัติศาสตร์โลก เป็นคำพูดสุดท้ายของพระเยซู ซึ่งแสดงว่าการทนทุกข์ของพระองค์จบลงแล้ว และงานทั้งสิ้นที่พระบิดาทรงมอบให้พระองค์ทรงกระทำเสร็จสิ้นลงแล้ว คือ การเทศนาสั่งสอนเรื่องข่าวประเสริฐ การทำหมายสำคัญและการนำความรอดมาให้แก่คนที่เชื่อวางใจในพระองค์ หนี้บาปทั้งสิ้นได้รับการจ่ายราคาแล้ว

• ตั้งแต่นี้ไปทุกสิ่งที่ทรงทำจะมีผลต่อเราทุกคนที่เชื่อ พระสัญญาทั้งสิ้น คำเผยวจนะ หรือ สิ่งที่ทรงตรัสจะเป็นจริง สิ่งที่สอนจะเกิดผลจะเกิดขึ้น เพราะที่กางเขนทุกสิ่งได้สำเร็จแล้ว เพียงท่านรับเอาด้วยความเชื่อ เพราะมันสำเร็จจริง ๆ เมื่อสองพันปีที่ผ่านมา หากเรามีความเชื่อเช่นนี้ เราก็รับด้วยการปฎิบัติทำตามที่เชื่อเท่านั้นเองครับ

การแก้ไขอาการถูกอินเตอร์เน็ตครอบงำสำหรับคริสตชน (ต่อ)

10. คุณเริ่มรู้สึกอยากจะซื้อสินค้าเกี่ยวกับเซ็กส์ ในอินเตอร์เน็ต หรือดาวน์โหลด ภาพต่าง ๆ แอบเก็บไว้เพื่อดูยามเหงา ให้อธิษฐานตัดความสัมพันธ์และสารภาพบาป ให้คิดใหม่ แก้ใหม่ในทางกลับกัน คือ คบเพื่อนคริสเตียนดี ๆ สักคน หรือเอาเงินไปซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ หรือสิ่งที่ขาดและจำเป็นดีกว่า

11. เลิกคบเพื่อนทางอินเตอร์เน็ตที่มองไม่เห็น ให้เข้าใหม่ใหม่ว่าเพื่อนที่มองเห็นอยู่รอบข้างเรายัง ไม่สามารถสนิทสนมและเดานิสัย ปรับบต้วเข้ากันได้ แต่เพื่อนรักออนไลน์เป็นเพียงภาพลวงตา เพราะนิสัย ค่านิยม ยิ่งความเชื่อด้วยแล้ว เข้ากันไม่ได้เลย นี่เป็นแผนการของวิญญาณบาลัคที่จะกำจัดอิสราเอล โดยนำเอาสาว ๆ ต่างชาติมาให้อิสราเอล ชื่นชม และห่างจากทางพระเจ้า

12. หากคุณติดการพนัน หรือพวกข้อมูล ก็อธิษฐานสารภาพ เพราะเป็นหนทางนำไปสู่ความโลภ บางคนไม่มีเงิน แต่ก็ยังสะสม หรือขอยืมเงนคนอื่น บางคนสะสมข้อมูลไม่หยุดยั้ง จำไว้ว่าไม่มีข้อมูลไหนสมบูรณ์ เราทราบข้อมูลเพื่อวิเคราะ แต่ไม่ได้ทำวิจัย เรารู้ข้อมูลบ้างเพื่อจะดำเนินชีวิตอย่างไร แต่ไม่ใช่ หมกมุ่นเสพติดข้อมูล

13. หากท่านหรือลูก ๆ ติดเกมส์ ควรมีวินัยสร้างตารางขึ้นมา มีระยะเวลาสักหนึ่งชั่วโมง และมีเวลาพัก สลับกิจกรรมอื่น ๆ เช่นการพักผ่อน ดูหนัง หรือซื้อหนังสือมาอ่าน พ่อแม่พาลูกไปเดินร้านหนังสือบ้าง แนะนำหนังสือน่าอ่าน

14. เมื่อลูกมาคุย หรือขอคำปรึกษา อย่าปฎิเสธ บอกปัดเพราะความยุ่งกับงาน จะทำให้ลูก ไปหาเพื่อนที่ตอบสนองความเหงาของเขา คือ อินเตอร์เน็ต และสร้างค่านิยมใหม่ในบ้าน คือการเปิดประตูห้องลูกขณะเล่นคอมพิวเตอร์ ที่พ่อแม่พร้อมจะเข้าไปหาเมื่อไหร่ก็ได้ และเป็นไปได้ให้เอาเครื่องคอมพิวเตอร์มาตั้งกลางห้องรวม เพื่อให้อยู่ในสายตาครับ

15. อธิษฐานเผื่อลูกเสมอ ๆ ให้หลุดจากอำนาจของอินเตอร์ หรือสัมผัส กอด แสดงความรักต่อลูก ๆ ทุกวัน ครับ

วันจันทร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2553

Worship - I could sing of your love forever


I Could Sing Of Your Love Forever

Over the mountains and the sea,
Your river runs with love for me,
and I will open up my heart
and let the Healer set me free.
I'm happy to be in the truth,
and I will daily lift my hands:
for I will always sing of when
Your love came down. [Yeah!]

I could sing of Your love forever,
I could sing of Your love forever,
I could sing of Your love forever,
I could sing of Your love forever. [Repeat]

Oh, I feel like dancing -
it's foolishness I know;
but, when the world has seen the light,
they will dance with joy,
like we're dancing now.

Worship - We fall down



We Fall Down
Artist(Band): Chris Tomlin

We fall down
We lay our crowns
At the feet of Jesus
The greatness of
Your Mercy and love
At the feet of Jesus
And we cry holy, holy, holy
And we cry holy, holy, holy
And we cry holy, holy, holy
Is the lamb
We fall down
We lay our crowns
At the feet of Jesus
The greatness of
Mercy and love
At the feet of Jesus
And we cry holy, holy, holy
And we cry holy, holy, holy
And we cry holy, holy, holy
Is the lamb
And we cry holy, holy, holy
And we cry holy, holy, holy
And we cry holy, holy, holy
Is the lamb

วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

การแก้ไขอาการถูกอินเตอร์เน็ตครอบงำสำหรับคริสตชน

การแก้ไขอาการถูกอินเตอร์เน็ตครอบงำสำหรับคริสตชน

เราต้องเข้าใจก่อนว่า ปัญหาโรคติดอินเตอร์เน็ตเกิดขึ้นจากการไม่มีวินัย โดยที่เราไม่รู้ตัว ผมขอเสนอทางแก้ไข

1. ให้วางแผนการใช้คอมพิวเตอร์ในการเช็คอีเมลล์ หรือข้อมูลข้อมูลข่าวสารแน่นอน ทำตารางมาเลย ว่าตื่นเช้า เฝ้าเดี่ยว และทานข้าว จากนั้นเช็คเมล์ เริ่มทำงานและว่างจากงาน มีความจำเป็นต้องใช้งานเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ตก็ใช้ (ยกเว้นคนที่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับอินเตอร์เน็ตตลอดเวลา ท่านก็ควรบริหารเวลาในการใช้คอมพิวเตอร์ เช่น หลังเสร็จจากงาน ด้านคอมพ์ ควรยืดเส้นยืดสาย มองออกไปไกล ๆ นอกหน้าต่าง พักสายตา เพราะท่านั่งของท่านมีผลต่อสายตาและร่างกายที่จะปวดเมื่อยได้ พักผ่อนโดยทางไปชงกาแฟดื่ม สรุปก็คือ บางคน ควรมีเวลาประจำว่าเมื่อไหร่ แต่ไม่ใช่แทบตลอดเวลา ใจจดจ่อแต่เรื่องเช็คเมล์ หรือ เฟสบุ๊ค หรือไฮไฟว์ จะทำให้งานด้านอื่น ๆไม่ด้อยประสิทธิภาพลงครับ อีกทั้งยังทำงานได้มากกว่าคนอื่นเสียอีก

2. เมื่อท่านกลับมาถึงบ้าน เวลาสำหรับครอบครัวก็อยู่กับครอบครัว เราต้องเข้าใจว่างานในชีวิตไม่มีวันเสร็จ ไม่มีสิ้นสุด แต่ลูกกับภรรยาต้องการเวลาของท่านเก็หมือนกัน และสายตาของท่านก็ต้องการการพักผ่อนจากการอยู่หน้าจอคอมพ์ บางคนเป็นโรคปวดหัว หรือไมเกรนเพราะอยู่หน้าจอมากเกินไป

3. หากท่านมีอาการเสพติดภาพลามก หรือเสพติดข่าวสารมากจนลืม และละจากการอธิษฐานเฝ้าเดี่ยวไปได้ ท่านมีอาการหนักแล้วครับ เพราะว่านั่นเป็นการผูกมัดและครอบงำ จำเป็นต้องสารภาพบาป และกลับใจใหม่ หันมาสนิทสนมกับพระเจ้าอีกครั้ง โดยการสร้างวินัยใหม่ขึ้นมาและปล้ำสู้จนเอาชนะให้ได้

4. หากท่านสร้างวินัยใหม่แล้วสารภาพบาปและกลับใจใหม่ ทำตารางดำเนินชีวิตใหม่แล้ว ท่านยังวนเวียนกับพฤติกรรมเดิม ๆ สำหรับผมเชื่อว่าท่านจำเป็นต้องรับการอธิษฐานปลดปล่อยครับ เพราะมันครอบงำท่าน จนท่านไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้ว

5. หากท่านมีอาการเศร้า เหงา หรือผิดหวัง และมักจะไปหาทางออกโดยดูภาพลามก หรือ หาเพื่อนคุยที่ไม่รู้จักกัน ทาง msn อีกทั้งต้องปกปิดฐานะที่แท้จริงของท่าน หรืออยู่ในโลกที่ไม่จริงเพื่อชดเชย ท่านควรรับการบำบัด เยียวยา จัดการ รากความเหงา การปฎิเสธตัวเอง และการยอมรับความจริงในชีวิตไม่ได้ และหากใช้วินัยก็แล้ว รับการปลดปล่อยก็แล้ว แต่ยังไม่หาย ท่านควรรับการปรึกษา หาราก และจัดการกับปัญหาที่ราก ว่าทำไมท่านจึงมีอาการแบบนี้ (คือผล) เพื่อรับการบำบัด เยียวยา
และเมื่อมีอาการเหงา ว้าเหว่ ควรจะเข้าหาคน จริง ๆ เช่น เพื่อน หรืองานอดิเรก แต่ท่านหาเพื่อนไม่ได้ ไม่มีงานอดิเรก อาจจะเพราะสาเหตุใดแต่ละคนไม่เหมือนกัน เมล์มาครับ ผมอาจแนะนำท่านได้ หรือ เข้าไปใน www.james7.org เรามีแผนกพันธกิจเยียวยา ผ่านทางคุยกันทา งmsn ให้แอดไปหาคนที่บอกว่าอยู่กลุ่ม RMC ครับ

6. สร้างวินัยใหม่ เพราะหากเราเป็นคนไม่มีวินัย ควบคุมตัวเองไม่ได้ เราก็ต้องใช้ตารางชีวิต ควบคุมเราเอง เหมือนคนที่มีแผนที่ว่าต้องเดินไปทางไหน ดีกว่าไม่มีอะไรเลย เพราะผมคิดว่าหนึ่งวันเราควรมีเวลาคร่าว ๆ คือกับพระเจ้า พระคำ วรรณกรรมคริสเตียน และเวลาการทำงาน เวลาครอบครัว เวลาตัวเอง คือ การพักผ่อน และบางวันก็รับใช้ เพราะเราต้องทำอะไรมากมาย เราก็วางแผนทยอยกันทำไปครับ

7. สำหรับพ่อแม่ที่มีลูก ๆ ติดอินเตอร์เน็ตและเกมส์ ท่านจำเป็นต้องใช้เวลาและความรักแก่ลูกมาก ๆ สัมผัส กอดเขา จนเขามั่นใจว่าความรักที่แท้จริง การคลายเหงา เพื่อน อีกคนหนึ่งในบ้าน คือ พ่อแม่ และสอนเรื่องการครอบงำ การเชื่อฟังบิดามารดา อีกทั้งมีตารางชีวิต ที่ยืดหยุ่นแก่เขาได้ และลูกของท่านจะมีความสุขกับท่าน

8. สร้างค่านิยมในบ้าน มานั่งด้วยกัน กินด้วยกัน ตอนเย็น ดูหนังด้วยกัน อย่าแยกกันชัดเจน ไปคนละมุมคนละห้อง ต่างพบกันครึ่งทาง เพราะหากพ่อแม่แบ่งชัดเจนในบ้าน ผู้ใหญ่ เด็ก ลูก ๆ ก็จะเหงาไปคบเพื่อน และหาทางชดเชยโดยทางเกมส์ อินเตอร์เน็ตครับ

9. สำหรับผมเชื่อว่าโลกนี้อยู่ภายใต้อนุภาพของมาร มันหาทางทำลายคริสตชน ทำลายครอบครัวพวกเรา โดยใช้อุปกรณ์ใกล้ตัว มือถือ คอมพิวเตอร์ เกมส์ หนังซี่รีย์ อะไรที่มากเกินก็บาป หรือน้อยเกินก็บาป เราต้องมีสติดำเนินชีวิตด้วยปัญญาตลอดครับ แม้ช้าแต่มั่นคงจะดีกว่าครับ พระเจ้าอวยพร

การแก้ไขเยาวชนเป็นโรคติดอินเตอร์เน็ต โดยเข้าค่ายบำบัดของจีนและเกาหลี

การแก้ไขเยาวชนเป็นโรคติดอินเตอร์เน็ต โดยเข้าค่ายบำบัดของจีนและเกาหลี

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่ามีการเสียชีวิตของเด็กวัยรุ่นจีนที่พ่อแม่ส่งเข้าบำบัดอาการติดอินเตอร์เน็ตที่ศูนย์บำบัดแห่งหนึ่งทางตอนใต้ของประเทศจีน

โรคติดอินเทอร์เน็ตกลายเป็นปัญหาน่าหนักอกเสียจนครอบครัวชาวจีนหลายครอบครัวจำต้องยอมควักเงินเกือบ 2,000 บาทต่อวันเพื่อส่งลูกหลานมารับการบำบัด จะใช้เวลาประมาณ 10-15 วัน โดยผู้ป่วยต้องกินยา รับยาผ่านเส้นเลือด ฝังเข็ม รับการกระตุ้นประสาทด้วยไฟฟ้า และออกกำลังกายเพื่อค่อย ๆ ปรับสภาพสู่การดำรงชีวิตตามปกติ (ไทยรัฐ วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2553)

เกาหลีใต้เป็นประเทศที่มีสัดส่วนการใช้อินเทอร์เน็ตของคนมากที่สุดในโลกกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของครัวเรือนทั้งหมดมีอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ราคาถูกใช้ ด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของประเทศในการเข้าสู่โลกไซเบอร์อย่างรวดเร็ว แต่มันก็นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นปัญหาที่อาจจะไม่ต่างกันนัก แล้วแต่ว่าใครจะตระหนักมากน้อยแค่ไหน

ปัญหาที่ว่าก็คือวัยรุ่นเสพติดเน็ต มีกรณีที่เล่นเกมข้ามวันข้ามคืนไปจนถึงตาย ไปจนถึงพวกที่ติดงอมแงมชนิดไม่ยอมไปโรงเรียนเพื่อจะได้ออนไลน์ได้ตลอด กลายเป็นปัญหาระดับชาติในระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้เอง

สำหรับเกาหลี นั้นตามที่ประเมินว่าวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 18 ปี ราว ๆ 2.4 แสนคนที่ถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคติดเน็ต ก็เลยมีโรงเรียนบำบัดผู้ติดเน็ต หรือ Jump up Internet Rescue School ขึ้นมา ค่ายบำบัดที่เพิ่งจะจัดไปไม่นานมานี้เป็นครั้งแรกและเป็นการเข้าค่ายระยะเวลา 12 วัน มี 2 รุ่นด้วยกัน ในแต่ละรุ่นประกอบด้วย วัยรุ่นอายุ 16-18 ปีที่จัดว่าอาการเข้าขั้นรุนแรง ผู้เข้าค่ายต้องกินอยู่หลับนอนในค่ายตลอดโดยปราศจากคอมพิวเตอร์

อาการเตือนของการเริ่มติดอินเตอร์เน็ต

อาการเตือนของการเริ่มติดอินเตอร์เน็ต

พอจะสรุปได้ดังนี้ สำหรับคริสเตียน คือ

1. ท่านไม่สามารถตื่นขึ้นมาด้วยการอธิษฐานหรืออ่านพระคัมภีร์ได้ บางคนไม่แม้แต่จะทักกับคนในบ้าน หรือไม่อยากทานข้าว หรือเอาข้าวไปนั่งทานที่คอมพิวเตอร์ทันที และจะเปิดคอมพิวเตอร์ เพื่อเข้าไปในโลกอินเตอร์เน็ตทางใดทางหนึ่ง จนสูญเสียความสัมพันธ์กับพระเจ้า

2. มีความรู้สึกว่าอยากจะเข้าไปให้ลึกกว่านี้ รู้ให้มากกว่านี้ จนอดกลั้นใจไม่ไหว ทั้งที่รู้แล้วก็ไม่ได้อะไร หรือบางอย่างยิ่งรู้ยิ่งนำไปส่ความบาป และสูญเสียเวลาการทานอาหารหรือ การนอนที่ตรงต่อเวลาเป็นประจำ นานเกินไป และมากยิ่งขึ้น

3. มีการต่อสู้กับจิตใจอยู่เสมอ เพื่อจะออนครั้งต่อไป ทั้งที่เวลานี้เป็นเวลาสำหรับครอบครัว หรือเป็นเวลาสำหรับการทำสิ่งที่ควรทำ

4. ใช้อินเตอร์เน็ต ชดเชยอาการเหงา หดหู่ เศร้า เหล่านี้ แต่มันไม่ใช่การแก้ที่สาเหตุ

5. ประสิทธภาพการทำงาน การเรียน การใช้เวลากับคนในบ้านของท่านลดลง ช้าลง ด้อยลง เพราะท่านใช้เวลากับกิจกรรมบนอินเตอร์เน็ตมากเกินไป

6. ครอบครัว หรือคนรอบข้างเริ่มบ่นถึงเรื่องการใช้อินเตอร์เน็ตของท่าน

7. ระดับการใช้อินเตอร์เน็ตของท่าน ต้องแอบใช้เพื่อเล่นเสพสุข และระวังตัวไปเสียหมด
ซึ่งตอนต่อไปจะแนะนำแนวทางการแก้ไขในทางคริสเตียน ครับ

คุณเป็นโรคติดอินเตอร์เน็ตหรือไม่

คุณเป็นโรคติดอินเตอร์เน็ตหรือไม่?

ดร.วัฒนา วินิตวัฒนคุณ จากคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัม อธิบาย “โรคติดอินเตอร์เน็ต” หรือ (IAD:Internet Addiction Disease) ว่าเป็นกลุ่มอาการ รวมถึงพฤติกรรมและความผิดปกติในการควบคุมแรงกระตุ้น โดยแยกเป็น 5 กลุ่มใหญ่ คือ

1. Cybersexual Addiction คือ การติด Adult Chat Room เกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเพศ on-line เช่นการดู Cyberporn หรือเข้าร่วมใน Cybersex พบว่า ในกลุ่มคนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในตัวเอง Body Image ผิดปกติ หรือพวกที่หมกมุ่นทางเพศมาก จะเกิดอาการของการเสพติด Cybersex ได้ง่ายมาก และนอกจากนี้แล้ว Cybersex เป็นทางออกที่ปลอดภัย ค่าใช้จ่ายถูก และปราศจากโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์

2. Cyber-Relationship Addiction คือ การคบเพื่อนจาก Chat Room, Newsgroups นำมาทดแทนเพื่อน หรือครอบครัวในชีวิตจริง ตลอดจนถึงการพัฒนาไปสู่ภาวะชู้สาวที่เกิดขึ้นทางอินเตอร์เน็ต

3. Net Complusions คือภาวะการติดการพนัน การประมูล สินค้า การซื้อขายทางอินเตอร์เน็ต

4. Information Overload คือภาวะที่ทำการค้นหาข้อมูล และ Web Surfing ได้อย่างมากมาย และไม่สามารถ ยับยั้งได้

5. Computer Addiction การใช้คอมพิวเตอร์หรือการเล่นเกมส์ทางคอมพิวเตอร์ในลักษณะที่ไม่สามารถยับยั้งใจได้
บทความนี้ได้คัดย่อจากเว็บ http://www.watpon.com/news/net.htm

วันพุธที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2553

เนื้อเพลงนมัสการ-In Christ alone

In Christ Alone




In Christ alone my hope is found
He is my light, my strength, my song
This Cornerstone, this solid ground
Firm through the fiercest drought and storm
What heights of love, what depths of peace
When fears are stilled, when strivings cease
My Comforter, my All in All
Here in the love of Christ I stand

In Christ alone, who took on flesh
Fullness of God in helpless babe
This gift of love and righteousness
Scorned by the ones He came to save
'Till on that cross as Jesus died
The wrath of God was satisfied
For every sin on Him was laid
Here in the death of Christ I live

There in the ground His body lay
Light of the world by darkness slain
Then bursting forth in glorious Day
Up from the grave He rose again
And as He stands in victory
Sin's curse has lost it's grip on me
For I am His and He is mine
Brought with the precious blood of Christ

No guilt in life, no fear in death
This is the power of Christ in me
From life's first cry to final breath
Jesus commands my destiny
No power of hell, no scheme of man
Can ever pluck me from His hand
'Till He returns or calls me home
Here in the power of Christ I'll stand

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

วันก่อนอีสเตอร์



วันก่อนอีสเตอร์

วันที่ 4 เมษายน 2010 จะเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่ง คือ วันอิสเตอร์ หรือวันที่พระเยซูคริสต์ฟื้นขึ้นมาจากความตาย หากคุณอยู่ในเหตุการณ์ในสัปดาห์สิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ (เรียกว่าวันศุกร์ประเสริฐ คริสตจักรทั้งหลายก็จะมีการรำลึกถึงวันสิ้นพระชมน์ของพระเยซูคริสต์ และมีพิธีมหาสนิท ในการประชุมกลางคืนพิเศษ) ในโอกาสนี้ผมอยากจะลำดับเหตุการณ์ทั้งหมด เริ่มจากวันนี้เป็นวันที่ 1 ของสัปดาห์การฟื้นพระชนม์มาให้ท่านได้สัมผัสกันนะครับ

วันที่ 1 ของสัปดาห์เปรียบเสมือน (วันอาทิตย์ ที่ 28 มีนาคม 2010) หรือ เรียกว่าปาล์ม ซันเดย์ เพราะพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างมีชัยชนะเพื่อร่วมพีธีปัสคา

จะอ่านได้ในพระธรรม มธ.21:1-11 เหตุที่เรียกว่าปาล์ม ซันเดย์ เพราะเป็นช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่กางเขนเป็นช่วงปลายเดือนมีนาคม อยากจะอธิบายถึงเทศกาลปัสคาสักหน่อย เทศกาลปัสคาเป็นเทศกาลที่ระลึกถึงอิสราเอลเดินทางออกจากอียิปต์หลังเป็นทาส 400 ปี เมื่อพระคริสต์ทรงเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ประชาชนได้ใช้ต้นปาล์มโบกต้อนรับซึ่งต้นปาล์มเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะเมื่อจอมทัพไปรบชนะกลับมา มีประชาชน ถือต้นปาล์ม มาต้อนรับขบวนทัพ

วันที่ 2 คือ หากเป็นสมัยของเรา เปรียบเสมือนวันจันทร์ (29 มีนาคม พระคริสต์ทรงคว่ำโต๊ะ ขับไล่ผู้ซื้อขายแลกเปลี่ยนเงิน

วันที่ 3 วันอังคาร (30มีนาคม) พระองค์เผชิญหน้ากับผู้นำทางศาสนาและกล่าวอุปมาต่าง ๆ และวันนี้เองผู้นำทางศาสนา และพวกยิวชุมนุมกันเพื่อวางแผนกำจัดพระองค์

วันที่ 4-5วันพุธ (31มีนาคม) พระเยซูทรงสั่งสอนประชาชนอีก และวันพฤหัสกลางคืน (1 เมษายน)พระคริสต์ร่วมพิธีมหาสนิทกับสาวกพระองค์ล้างเท้าพวกเขา

จนรุ่งเช้าของวันศุกร์ (2เมษายน) ยูดาสพร้อมทหารมาจับกุมพระเยซู และทรงถูกนำไปไต่สวน เปโตรปฏิเสธพระองค์ ยูดาสสุดท้ายกลับใจ และการตัดสินเหตุการณ์ดำเนินไปจน 15.00น พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ ถูกนำไปฝังไว้ในอุโมงค์ จนเลยไปอีกหนึ่งวันหนึ่งคืน (รวมสองวัน คือ คืนวันศุกร์ คืนวันเสาร์ (3เมษายน) เช้าวันอาทิตย์ (4เมษายน) คือวันอาทิตย์หน้ารุ่งเช้าพระคริสต์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย เราจึงจัดวันศุกร์ประเสริฐ และเช้าวันอีสเตอร์คือวันอาทิตน์หน้านี้เอง ยังมีเกร็ดเล็ก ๆ น้อย ๆ เกี่ยวกับเทศกาลอีสเตอร์ คือ

สัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น
1. ไม้กางเขน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ชัยชนะเหนือความตายของพระคริสต์

2. แกะ เล็งถึงพระเยซูเป็นลูกแกะปัสคาของพระเจ้า

3. โลหิต ที่ไหลของพระคริสต์ สามารถลบล้างมลทินบาป จากอดีต ปัจจุบัน อนาคต และลบล้างพระอาชญาทั้งสิ้นของท่านได้ จงอย่ากลัวเกรงสิ่งใด เพราะการเยียวยา ฤทธิอำนาจแห่งพระโลหิต และการถูกตรึงที่กางเขน ได้เป็นพระสัญญา สัญลักษณ์ว่าท่านรอดพ้นจากบาป เวรกรรมและจะมีอะไรเกิดขึ้น อีกในภายข้างหน้า พระโลหิตกับกางเขนจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ท่านรู้ว่าการช่วยกู้ของพระองค์ที่มีต่อท่านนั้นสำเร็จแล้ว (1ยน1;9)


4. ไข่ หมายถึง ชีวิตใหม่ และกระต่าย เด็ก ๆ มีความเชื่อว่ากระต่ายเป็นผู้นำไข่อีสเตอร์มา และท้ายนี้ขอพระเจ้าอวยพรและเข้าใจในสัปดาห์สุดท้ายของชีวิตพระคริสต์ที่อยู่ในโลกนี้ก่อน สิ้นพระชมน์ ในรูปกาย เนื้อหนังครับ ในเทศกาลอีสเตอร์ครับ


วันอีสเตอร์ยิ่งใหญ่เท่าวันคริสตมาสอย่างไร



วันอีสเตอร์ยิ่งใหญ่เท่าวันคริสตมาสอย่างไร ?

วันที่ 4 เมษายน 2010 ของปีนี้ ผมเข้าใจว่าเป็นวันอีสเตอร์ หรือวันที่พระเยซูคริสต์ฟื้นคืนพระชนม์ เป็นวันสำคัญครับ เพราะหากไม่มีการฟื้นขึ้นจากความตายของพระคริสต์ การสอน ความเชื่อ หรือสิ่งที่เราเป็น เราทำทั้งหมด จะเหมือนคนบ้า หรือคลั่งไคล้ศาสนาหนึ่ง ที่เชื่อในพระเจ้าที่ไม่มีตัวตนและไม่มีชีวิต ไม่มีหลัก เป็นเรื่องลม ๆ แล้ง ๆไปเลย

หลายท่านตื่นเต้นเมื่อเทศกาลคริสตมาสมาบรรจบอีกครั้งในแต่ละปี แต่ที่น่าสังเกตุก็คือทำไมไม่มีใครตื่นเต้น เฉลิมฉลองในเทศกาลอีสเตอร์ มันมีคุณค่าอย่างไรครับ

คุณลองคิดดูซิว่า หากไม่มีวันศุกร์ประเสริฐ ศุกร์ที่พระเยซูถูกตรึงที่กางเขน รับความบาปผิดของคนทั้งโลกไป ยอมเจ็บปวดทรมานกายของพระองค์เพื่อรักษาให้ความเจ็บป่วยด้านจิตใจ จิตวิญญาณ และร่างกายของเราให้หายดี เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ถูกฝังไว้ในอุโมงค์แล้ว ในวันที่ 3 คือเช้ารุ่งอรุณวันอาทิตย์ พระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ทำให้เรายิ่งมั่นใจในชัยชนะของพระองค์ ว่าพระองค์ทรงชนะความตาย ชนะความบาป เราเชื่อพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่มีชีวิตอยู่จริง ๆ ไม่ใช่พระเจ้าที่ตายแล้ว

นี่ไงครับ เหตุผลที่ว่าวันอีสเตอร์สำคัญเท่า ๆ กับวันคริสตมาส อยากให้เรามีการแสดงความชื่นชมยินดีให้แก่กันและกัน เช่น มอบของขวัญ ส่งการ์ดอวยพร หนุนใจแก่พี่น้อง เพื่อแสดงความยินดีในชัยชนะของพระองค์และในชีวิตของเรา เพื่อหนุนใจให้มั่นคงในความเชื่อตลอดไป ย้ำเตือนให้รู้ว่าพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่มีชีวิตอยู่จริง ไม่ใช่พระเจ้าที่ตายแล้ว

แล้วท่านจะเสียใจ มีความวิตกกังวล ความกลัวอยู่อีกทำไม แม้มารซาตานความตาย พระคริสต์ทรงชนะแล้ว กะอีแค่เรื่องปัญหาใหญ่โตของเรา มันยังไม่ถึงกับตายหรอกครับ ในสายพระเนตรพระเจ้ามันเล็กนิดเดียว สัปดาห์หน้ามาคุยกันต่อในรายละเอียดว่าแต่ละวันตั้งแต่วันวันอาทิตย์หนึ่งสัปดาห์ที่พระคริสต์สิ้นพระชมน์ มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น และความหมายของลักษณะต่างๆ ในวันอีสเตอร์ จะบอกถึงในบทต่อไปครับ

‘ถ้าพระคริสต์มิได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา การเทศนาของเรานั้นก็ไม่มีหลัก ทั้งความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไม่ มีหลักด้วย และก็จะปรากฏว่าเราอ้างพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานว่าพระองค์ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา แต่ถ้าคนตายไม่ถูกทรงชุบให้เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้ทรงชุบพระคริสต์ให้เป็นขึ้นมา เพราะว่าถ้าการชุบให้เป็นขึ้นมาไม่มี พระคริสต์ก็ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของตน เพราะมนุษย์ผู้หนึ่งเป็นเหตุฉันนั้น และคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระคริสต์ก็พินาศไปด้วย ถ้าในชีวิตนี้ พวกเราซึ่งอยู่ในพระคริสต์มีแต่ความหวังเท่านั้น เราก็เป็นพวกที่น่าสังเวชที่สุดในบรรดาคนทั้งปวง แต่ความจริงพระคริสต์ทรงถูกชุบให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และทรงเป็นผลแรกในพวกคนทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น เพราะว่าความตายได้อุบัติขึ้น เพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้อุบัติขึ้น 1โครินธ์ 15;14-21